เมื่อรถม้าทรงตัวนิ่ง ซูหนานอีก็ตบลงบนเอวของหยุนจิ่งเบาๆให้เขาปล่อยนาง
หยุนจิ่งรู้สึกว่านางช่างอ่อนนุ่มเหลือเกินอีกทั้งยังหอมกรุ่น เมื่อกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนช่างรู้สึกดีเหลือเกิน
ดังนั้นจึงรู้สึกลังเลที่จะต้องปล่อยนางออก ก่อนจะมองไปยังนางเอ่ยถามขึ้นว่า "เหนียงจื่อ มิเป็นอะไรใช่หรือไม่?"
"ข้ามิเป็นไรหรอก พวกเราลงไปดูกันเถิดว่าเกิดอะไรขึ้น"
ซูหนานอีเลิกม่านขึ้นช้าๆ แล้วมองผ่านช่องว่างออกไปด้านนอก พบว่ามีสตรีนางหนึ่งยืนขวางอยู่ อายุประมาณสามสิบเจ็ดสามสิบแปดปีเห็นจะได้ เสื้อผ้าที่นางสวมใส่อยู่นั้นช่างเก่าเหลือเกิน ทั้งชายกระโปรงและแขนเสื้อก็ถูกปะจนพรุน แต่มองดูแล้วก็สะอาดสะอ้าน
ใบหน้าของแม่นางผู้นั้นช่างหม่นหมอง ดวงตาของนางเหม่อลอย ปากได้แต่บ่นพึมพำว่า "เจ้าเห็นหยู่เอ๋อร์ของข้าหรือไม่?"
คนขับรถม้าเห็นท่าทางของนางเช่นนั้นก็โมโหและกล่าวว่า "ข้าไม่เห็น จงหลีกไปเสีย!"
ดวงตาของสตรีนางนั้นแดงเรื่อ "ข้ากำลังหาหยู่เอ๋อร์ของข้าอยู่ หยู่เอ๋อร์……เจ้าอยู่ที่ใดกัน?"
ซูหนานอีขมวดคิ้วเล็กน้อย นางได้ยินฝูงชนกระซิบกระซาบกันว่า "นั่นมิใช่แม่นางปักผ้าซิ่วเหนียงที่อยู่ถนนตะวันตกหรือ? ดูเหมือนนางจะแซ่หลิน"
"ใช่น่ะสิ นางมีฝีมือการปักยอดเยี่ยมยิ่งนัก ข้ายังเคยซื้อผ้าเช็ดหน้าของนางด้วย"
"ดูเหมือนนางจะมีบุตรสาวนามว่าหยู่เอ๋อร์ ข้าได้ยินมาว่าบุตรสาวของนางนั้นมีฝีมือเย็บปักดีกว่านางเสียอีก และยังเฉลียวฉลาดมิน้อย"
"ถูกต้องแล้ว แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนหยู่เอ๋อร์ได้เดินทางไปซื้อเส้นไหม ปรากฏว่านางไปและมิกลับมาอีกเลย จึงทำให้แม่นางหลินเสียอกเสียใจเป็นบ้าเช่นนี้ เห้อ ช่างน่าสงสารเหลือเกิน"
ซูหนานอีตกตะลึงเล็กน้อย มีคนทำบุตรสาวหายอีกแล้วหรือ? เหตุใดจึงบังเอิญเช่นนี้? นางปล่อยม่านลงดังเดิม ซูหนานอีตกอยู่ในสภาวะครุ่นคิด การที่มีผู้คนหายไปเช่นนี้ดูมิปกตินัก
"เหนียงจื่อ เป็นอะไรไปหรือ? เจ็บตรงไหนหรือไม่?" ดวงตาของหยุนจิ่งเต็มไปด้วยความกังวล "ไปให้หมอตรวจดูดีหรือไม่?"
เมื่อซูหนานอีได้สติกลับคืนมาจึงตอบเขาว่า "มิได้ ข้าหาได้เป็นไรไม่ เพียงแต่รู้สึกว่าแม่นางเมื่อสักครู่น่าสงสารเหลือเกิน"
"นางหาลูกสาวของนางไม่พบ แน่นอนว่าต้องเศร้าโศกเป็นธรรมชาติ หากว่าจิ่งเอ้อร์หาเหนียงจื่อไม่พบ ก็คงจะเศร้าโศกยิ่งกว่านี้" หยุนจิ่งกล่าวอย่างจริงจัง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
"……" ซูหนานอียากจะอธิบายกับเขาว่าการอุปมาเช่นนี้ไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร
ในที่สุด เมื่อไตร่ตรองดูแล้วนางก็ละทิ้งความคิดนั้น "จิ่งเอ้อร์อย่าได้กังวลไป ข้ามิเป็นไรหรอก ข้าสัญญากับจิ่งเอ้อร์แล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าอย่างไรเล่า"
เมื่อจิ่งเอ้อร์ได้รับการยืนยันเช่นนั้น เขาก็ยิ้มออกมาอย่างเปิดเผย "เหนียงจื่อช่างดีเหลือเกิน ทั้งหอมและอ่อนนุ่มอีกทั้งยังอยู่เป็นเพื่อนข้าด้วย"
ซูหนานอีชะงักลงเล็กน้อย ทั้งหอมและอ่อนนุ่ม……การเปรียบเทียบเช่นนี้ ชวนให้ผู้ฟังเขินอายเหลือเกิน
"เอ๋! เหนียงจื่อเหตุใดจึงหน้าแดงเล่า?" ใบหน้าอันหล่อเหลาของหยุนจิ่งยื่นเข้ามาตรงหน้านาง "มิสบายตรงไหนหรือ?"
ซูหนานอีสูดหายใจเข้าลึก "มิใช่ ข้าสบายดี เพียงแต่อากาศร้อนไปสักหน่อยเท่านั้นจึงทำให้หน้าแดง"
หยุนจิ่งจึงได้เปิดกล่องน้ำแข็งและหยิบผลไม้ที่เหลืออยู่ด้านในเพียงหนึ่งจานออกมา "ถ้าเช่นนั้นเหนียงจื่อจงรีบกินเถิด ข้าเก็บเอาไว้ให้"
ซูหนานอีหยิบมันขึ้นมาลูกหนึ่งแล้วกัดกินอย่างช้าๆ "จิ่งเอ้อร์ช่างดีเหลือเกิน"
เมื่อกลับมาถึงตระกูลซู ผู้ที่ยืนเฝ้าประตูพบนางกับหยุนจิ่งกลับมาแล้วก็รีบเข้ามาคารวะ ซูหนานอีพาเขาเดินกลับไปยังลานบ้าน เสี่ยวเถาได้ก้าวเข้ามาต้อนรับกล่าวว่า "คุณหนู ท่านอ๋องกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ บ่าวได้จัดเตรียมน้ำบ๊วยเอาไว้ให้แล้ว ตอนนี้คาดว่าคงจะเย็นแล้วกระมัง รับมาดื่มคลายร้อนสักแก้วหรือไม่เจ้าคะ?"
"อืม" ซูหนานอีพยักหน้า "จิ่งเอ้อร์จงไปดื่มเถิด อีกประเดี๋ยวข้าจะตามไป"
หยุนจิ่งเดินตามเสี่ยวเถาเข้าไปดื่มน้ำบ๊วยด้วยท่าทางมีความสุข ซูหนานอีเหล่มองไปที่เสี่ยวชีขยิบตาถามว่า "เป็นอย่างไรบ้าง?"
"ตามตัวพบแล้วและได้ส่งจดหมายออกไปแล้ว เขาได้แต่ร้องไห้ออกมาอย่างหนักจากนั้นก็กลับเข้าไปในเรือน กล่าวว่าเขามิมิที่ไปและยินดีจะอยู่ต่อเพื่อช่วยเหลือคุณหนู" เสี่ยวชีเม้มริมฝีปาก เมื่อจินตนาการถึงชายร่างสูงใหญ่ผู้นั้นร้องไห้อย่างขมขื่น ก็รู้สึกเศร้าโศกเล็กน้อย
ซูหนานอีเหลือบมองไปที่หยุนจิ่งซึ่งอยู่ด้านใน "ท่านอ๋องมิรู้จักเจ้าหรือ?"
เสี่ยวชีรู้สึกเขินอายเล็กน้อย "คุณสมบัติของบ่าวมิเพียงพอ จึงมิเคยได้รับใช้ท่านอ๋องเจ้าค่ะ"
เมื่อกล่าวจบนางก็ได้รีบอธิบายขึ้นอีกว่า "แต่คุณหนูมิต้องกังวลใจไป บ่าวได้ผ่านการทดสอบของท่านหัวหน้าแล้ว"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ