บัดนี้เสี่ยวเถาหาได้รู้สึกแปลกใจกับพฤติกรรมที่ผิดปกติของซูหนานอีไม่ อีกทั้งนางยังรู้สึกว่าคุณหนูช่างเก่งกาจนัก กลายเป็นนายแต่เพียงผู้เดียวของนาง และเป็นเหมือนวีรสตรีผู้กล้าหาญซึ่งไม่มีอะไรที่นางทำไม่ได้
หลังจากที่ซูหนานอีเดินออกมาจากเรือนแล้ว จึงได้ใช้วิชาตัวเบาลอยข้ามหลังคาบ้านออกไป มุ่งหน้าไปทางเรือนเล็กๆท่ามกลางความมืดและเงียบงัน
ในเรือนเล็กๆนั้น หลี่จิ้งหว่านกำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ตั้งแต่ซูหนานอีจากไป จิตใจของนางก็ไม่เคยสงบลงเลยสักวินาทีเดียว ในใจของนางจินตนาการไปมากมายและกังวลใจยิ่งนัก
ลู่ซือหยวนนั่งอยู่ที่ระเบียงและมองดูดวงดาวบนฟากฟ้า เมื่อเขาเห็นหลี่จิ้งหว่านเดินไปมาในเรือนก็ได้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างใจเย็นว่า "มิต้องรีบร้อนไป ในเมื่อนางสัญญาว่าจะมาก็จะต้องมาแน่"
หลี่จิ้งหว่านจึงหยุดเดินและหันหลังไปมองเขา ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในรถเข็นใต้แสงจันทร์ ลำตัวของเขาตั้งตรงมือทั้งสองข้างวางอยู่ที่เข่า เขาผอมมากผอมดุจดั่งไม้ไผ่ ผอมจนแทบจะเห็นกระดูก ดวงตาสีดำคู่นั้นมองไม่ออกว่าบัดนี้อารมณ์เช่นใด นางรู้เพียงแต่ว่า การที่ซูหนานอีเดินทางมาที่นี่บ่อยๆก็เนื่องจากชายหนุ่มผู้นี้
หลี่จิ้งหว่านโค้งตัวลงเดินเข้าไปด้านในเรือนแล้วหยิบผ้าห่มผืนบางออกมากล่าวว่า "คุณชายจงห่มสิ่งนี้ไว้ที่เข่าเถิด"
ลู่ซือหยวนลดสายตาลง "ขอบใจเจ้ามาก"
หลี่จิ้งหว่านยิ้มออกมาเบาๆ แต่มิได้กล่าวอันใด
ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปสักพัก คนหนึ่งก้มหน้าครุ่นคิดถึงความรู้สึกในใจ อีกคนหนึ่งเงยหน้ามองดูดวงดาว
ผ่านไปเนิ่นนานทีเดียว ในที่สุดลู่ซือหยวนก็ได้เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆว่า "นางมาแล้ว"
หลี่จิ้งหว่านชะงักลงเล็กน้อย นางมองไปที่ประตูแต่กลับไม่พบผู้ใด
น่าสงสัยยิ่งนัก แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นและมีคนเดินเข้ามาด้านในจริงๆ
นางอดไม่ได้จนแทบจะยกกระโปรงก้าวลงบันไดไป แต่พอดีจังหวะที่ซูหนานอีเดินมาข้ามรั้วดอกไม้มาพอดี "คุณหนูหลี่รอนานหรือไม่"
หลี่จิ้งหว่านมองไปยังลู่ซือหยวนที่อยู่ตรงทางเดินด้วยความประหลาดใจ ซูหนานอีมองเห็นดวงตาของนางเช่นนั้นจึงได้เอ่ยถามว่า "เป็นอะไรหรือ?"
หลี่จิ้งหว่านเอ่ยชมว่า "คุณชายหูดีเสียจริง"
ซูหนานอีจึงยิ้มออกมาเบาๆ "ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เราจะเดินทางกันเดี๋ยวนี้"
"อืม"
หลี่จิ้งหว่านหันกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ซูหนานอีเดินมาตรงหน้าลู่ซือหยวนถามขึ้นว่า "กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ?"
"เจ้าจะไปที่ตระกูลหลี่หรือ?" ลู่ซือหยวนมิตอบคำถามแต่กลับถามนางกลับไป "นางไม่รู้ศิลปะการต่อสู้เลย จะอันตรายเกินไปหรือไม่?"
"มิเป็นไรหรอก แม้นางจะไม่รู้จักศิลปะการต่อสู้แต่ก็คุ้นเคยกับตระกูลหลี่เป็นอย่างดี อีกอย่างตระกูลหลี่หาใช่ตระกูลสูงส่งใด ไม่มีทหารคุ้มกันคงไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก"
เมื่อซูหนานอีเห็นความกังวลใจจากดวงตาของลู่ซือหยวน นางก็ยิ้มออกมา ดวงตานางสะท้อนรูปพระจันทร์แวววาว "ซือหยวน เมื่อเจ้าหายดีแล้วพวกเราไปหลิ่งหนานด้วยกันเถอะ"
ลู่ซือหยวนไม่เข้าใจว่าทำไมนางจึงอยากจะไปที่นั่น แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยถามกลับพยักหน้าตอบรับว่าตกลง
"เอาเป็นว่าตามนี้" ซูหนานอียิ้มออกมาอย่างสดใส ดวงตาของนางดุจจันทร์ครึ่งเสี้ยว
"อืม"
ในระหว่างที่สนทนากันอยู่นั้น หลี่จิ้งหว่านก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินออกมา ซูหนานอีจึงได้เอ่ยลากับลู่ซือหยวนจากนั้นพาหลี่จิ้งหว่านเดินออกไป
ลู่ซือหยวนเม้มริมฝีปากแน่น ริมฝีปากของเขาขาวซีด ภายใต้แสงจันทร์มือของเขาจับไปที่รถเข็น เส้นเลือดปูดโปนด้านหลังมืออันขาวดุจหิมะนั้นปูดโปนขึ้นมา เขาจะต้องหายดีในเร็ววัน
ซูหนานอีเดินไปพลางถามขึ้นว่า "คุณหนูหลี่ นอกจากประตูหน้าแล้วตระกูลหลี่ยังมีประตูอื่นอีกหรือไม่?"
"มี ที่ประตูทางทิศตะวันตกมีประตูหนึ่งสำหรับรถม้าเข้าออก และบรรดาคนซื้อของก็ใช้ประตูนั้น"
"ดีมาก พวกเราจะเข้าไปจากตรงนั้น และไปยังเรือนที่ห่างไกลที่สุดในจวนนั้น"
ณ ประตูด้านทิศตะวันตกอันกว้างขวาง รถม้าสามารถเข้าไปได้ทั้งคัน ที่หัวมุมข้างๆไม่มีโคมไฟแต่อย่างใด มีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ใบไม้เล็ดลอดเข้ามาเป็นเงา
ซูหนานอีทำสัญลักษณ์ให้ความหมายว่าหลี่จิ้งหว่านจงรอนางอยู่ที่นี่ จากนั้นก็กระโดดข้ามกำแพงเข้าไปหายเงียบ
รอบข้างทั้งสี่ทิศช่างเงียบเหลือเกิน มีเพียงเสียงม้าหายใจซึ่งดังออกไปไม่ไกลนัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ