แม้ว่าจะเป็นสภาพอากาศในช่วงเดือนกันยายนและตุลาคม แต่บนหน้าผากของชายผู้นี้ก็มีเหงื่อออกมาอย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นครู่จึงกล่าวว่า "เหตุใดทหารแคว้นเซี่ยจึงกล้าประจำการแค่นอกเมือง แต่ไม่กล้าโจมตีเมืองคังหยาง? "
ทันทีที่คำถามนี้ถามออกมา สีหน้าของทุกคนก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย พระชายาและสาวใช้คนนี้เพิ่งมาถึงเมืองคังหยาง จึงมิได้ทราบทุกอย่างในเมืองอย่างชัดเจน ดังนั้นพวกนางจะไม่ทราบว่าเพราะเหตุอันใด
เฉี่ยนอินหัวเราะพร้อมกับเสียดสีเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้ "คำถามของคุณชายท่านนี้ช่างแปลกยิ่งนัก ไม่กล้าอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่เพราะว่าแคว้นเซี่ยไม่กล้า แต่เพราะกุนซือแคว้นเซี่ยมีชื่อว่า หลิ่วหยินเฟิง สิ่งที่หลิ่วหยินเฟิงคือถนัดที่สุดก็คือ การรู้เขารู้เรา เขาอาจทราบนิสัย ความชอบของเหล่าแม่ทัพที่อยู่ในนี้อย่างชัดเจนตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว เหตุที่เขาไม่โจมตี เพียงเพราะเขาทราบดีว่าแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังทหารของเมืองคังหยางมีชื่อว่าฉีหล่าง เรื่องการสู้รบของแม่ทัพฉีไม่มีจุดบกพร่องให้ตำหนิ เพียงแต่ท่านมีปัญหาอย่างหนึ่ง นั่นคือ ความเย่อหยิ่ง เหตุที่หลิ่วหยินเฟิงไม่โจมตีเพราะเขาทราบจุดอ่อนจุดนี้ของแม่ทัพฉี นี่เป็นเพียงกลยุทธ์ของเขาก็เท่านั้นเอง "
ทันทีที่เสียงของเฉี่ยนอินหยุดไป ข้างล่างนั้นเงียบเป็นอย่างมาก หยุนชางเห็นเส้นเลือดสีฟ้าจาง ๆ พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงบนหน้าผากของฉีหล่าง หยุนชางยิ้มเล็กน้อย เจ้าเด็กนี้คงไม่รู้จักคำว่าพูดทางอ้อมกระมั้ง
หลังจากนั้นไม่นาน ฉีหล่างก็พูดว่า " เมื่อสักครู่นี้ได้ยินแม่หญิงท่านนี้พูดถึงหลิ่วหยินเฟิง เจ้าบอกว่าเขาถนัดการรู้เขารู้เรามากที่สุด ข้าอยากจะถามแม่หญิงคนนี้ว่า เช่นนี้จุดอ่อนของหลิ่วหยินเฟิงคืออะไรหรือ"
หยุนชางอมยิ้มและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "หลิ่วหยินเฟิงงั้นหรือ เขาชอบผู้ชาย อีกทั้งชายที่เขาชอบคืออ๋องเจ็ดแห่งแคว้นเซี่ย เซี่ยโหจิ้ง นี่นับว่าเป็นจุดอ่อนของเขาหรือไม่?"
ทันทีที่หยุนชางพูดจบ ก็พบว่าแววตารอบด้านนั้นจับจ้องมาที่ตน หยุนชางไม่คิดที่จะกล่าวต่อ แต่เฉี่ยนอินกลับเอ่ยปากต่อว่า " พระชายาได้ส่งคนไปสืบตัวตนของหลิ่วหยินเฟิงตั้งแต่เดือนที่แล้วแล้ว โดยทราบมาว่าเขาแทบไม่มีงานอดิเรกอะไรเลย จึงไม่สามารถสืบอะไรได้ เพียงแต่ว่า พระชายาขอให้เหล่าสาวใช้จับตาดูการจัดแต่งเรือนของหลิ่วหยินเฟิง สุดท้ายคนที่เราส่งไปได้พบภาพวาดที่เขาซ่อนไว้ในห้องหนังสือของเขา ภาพด้านในล้วนเป็นอ๋องเจ็ดแห่งแคว้นเซี่ย เซี่ยโหจิ้งเพคะ"
มีคนที่อยู่ด้านล่างตบโต๊ะแล้วยืนขึ้น "ไม่น่าล่ะ ก่อนหน้านี้ข้าได้พาผู้หญิงที่งดงามดั่งเทพธิดาไปพบเขา หลิ่วหยินเฟิงทำท่าทีนิ่งเฉยราวกับภูเขา ที่แท้ไม่ชอบผู้หญิงนี่เอง แต่กลับชอบผู้ชายอย่างนั้นหรือ? น่าคลื่นไส้จริงๆ "
หยุนชางยิ้มอย่างเย็นชา "ประลองทั้งทางด้านวิชาการ ทั้งทางด้านศิลปะการต่อสู้แล้ว ทุกท่านควรทำตามสัญญาใช่หรือไม่? เมื่อสักครู่เราคุยกันแล้ว หากว่าพวกเจ้าแพ้ พวกเจ้าต้องยืนขึ้น และโคงคำนับด้วยความเคารพต่อข้าและเฉี่ยนอินพร้อมกล่าวคำว่า ขอโทษ"
ทุกคนมองหน้ากัน แต่บางคนก็ค่อยๆ ๆ ลุกขึ้นยืน มีคนยืนขึ้น แม้ว่าคนอื่นๆ จะไม่อยากทำ แต่ก็ไม่อยากเสียหน้าไป จึงลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไม่พอใจ เมื่อเห็นว่าทุกคนลุกขึ้นจนใกล้จะหมด ผ่านไปสักครู่จึงได้คารวะ "หม่อมฉันขอโทษขอรับ"
หยุนชางยิ้มเบา ๆ "วันนี้เพียงแค่เป็นการสอนบทเรียนให้กับทุกท่าน เพื่อบอกพวกเจ้าว่าสิ่งที่ผู้ชายทำได้ ผู้หญิงก็ทำได้อีกทั้งไม่เลวไปกว่าพวกเจ้าเสมอไป หวังว่าพวกเจ้าจะจำบทเรียนนี้ไว้ได้ และอย่าได้ดูถูกผู้หญิงอีกเลย"
หลังจากหยุนชางพูดจบ นางก็ยืนขึ้นและพูดว่า "วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ฉะนั้นข้าขอตัวก่อน พวกเจ้าเล่นให้สนุกเถิด"
เฉี่ยนอินรีบก้าวเข้าไปพยุงหยุนชาง แล้วเดินไปทางหลังจวนอย่างช้าๆ
เมื่อเดินไปที่มุมทางเดินริมทะเลสาบในสวนหลังบ้าน ก็พบชายชุดขาวยืนอยู่ตรงโถงทางเดินแล้วมองมาที่ทะเลสาบ ราวกับว่าเขากำลังเหม่อลอย หยุนชางขมวดคิ้ว หากจำไม่ผิด เพราะนางได้ออกคำสั่งพิเศษว่า นางไม่ชอบการถูกรบกวน ฉะนั้นส่วนของฝั่งทะเลสาบนี้นางอาศัยเพียงคนเดียว และทางเดินนี้เป็นทางเดินเข้าไปทางที่นางประทับอยู่
เหมือนว่าชายผู้นั้นจะรู้สึกได้ถึงการมาถึงของนาง เขาหันกลับมามองไปที่หยุนชาง ดูเหมือนว่าเขาจะตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงรีบกล่าวว่า "ที่แท้ก็เป็นพระชายานี่เอง หม่อมฉันฉีวี้เฟิง ขอคารวะพระชายาขอรับ"
ฉีวี้เฟิง สายตาของหยุนชางจับจ้องไปที่ชายที่คุกเข่าลงหนึ่งข้างต่อหน้าตน ชื่อนี้นางคุ้นเคยอย่างมาก ช่วงที่ผ่านมานั้นมักมักปรากฏบนเอกสารข้อมูลที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของนางส่งถึงนาง เขาคือลูกชายคนโตของฉีหล่าง ได้ยินมาว่าเขาเป็นลูกชายที่ดีที่สุดของฉีหล่าง และศิลปะการต่อสู้นั้นดีเยี่ยมที่สุดในบรรดาลูกชายทั้งสาม กลยุทธ์ก็ไม่เลวเช่นกัน
หยุนชางครุ่นคิด สายตาของนางเต็มไปด้วยความพินิจพิเคราะห์เล็กน้อย "ลุกขึ้นยืนเถอะ วันนี้คุณชายฉีมิได้อยู่ลานหน้าบ้านหรือ?"
ฉีวี้เฟิงลุกขึ้นยืนและพยักหน้า " วันนี้ถึงหม่อมฉันไปลาดตระเวนที่ประตูเมือง เมื่อกลับมาจากการลาดตระเวนก็สายมากแล้ว เดิมทีคิดว่าจะไปสักหน่อย แต่เมื่อเดินถึงตรงจึงคิดได้ว่างานเลี้ยงคงจะจบลงแล้ว หากจะไปตอนนี้คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ กำลังครุ่นคิดว่าจะไปหรือไม่ แล้วก็พบพระชายาเสด็จกลับขอรับ"
แววตาของหยุนชางส่องประกายระยิบระยับ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็สดใสมากขึ้น จนทำให้ฉีวี้เฟิงตกตะลึง ดวงตาของเขามีแสงวาบผ่าน เดิมทีโถงทางเดินนี้จุดโคมไฟเพียงไม่กี่ดวง แต่โชคดีที่วันนี้แสงพระจันทร์งดงามยิ่งนัก จึงเห็นได้ชัด เขาว่ากันว่าหญิงงามใต้แสงจันทร์ มองดูหญิงงามใต้แสงจันทร์ จะทำให้หญิงงามนั้นงดงามมากขึ้นกว่าเดิมยิ่งนัก หญิงสาวที่งดงามอย่างยิ่งดั่งหยุนชาง เมื่ออยู่ใต้แสงจันทราที่พร่ามัวนี้ ทำให้ผิวกายของนางสวยงามดั่งหยก ซึ่งทำให้ไม่สามารถละสายตาไปได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง