หยุนชางจึงมองตามสายตาของซานเหนียงไป พร้อมถอนหายใจออกมา "ข้าเพียงมาที่นี่ได้ไม่กี่วัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าคงจะน่าเบื่อขึ้นเรื่อย ๆ แล้วกระมัง "
ซานเหนียงเพียงแค่เหลือบมองหยุนชาง แล้วจึงหันหลังกลับไป
ระหว่างรับสำรับอาหารเย็นนั้น หยุนชางพลางเหลือบมองอาหารไปมานั้น เพียงกินได้ไม่กี่คำก็วางตะเกียบลง พร้อมพูดออกมาอย่างขมขื่นว่า "ข้าจำได้ว่า ครั้งแรกที่ข้ามาถึงนั้น เจ้ารับปากข้าไว้แล้วว่า จะไปถามห้องเครื่องให้ว่าสามารถทำอาหารแคว้นหนิงให้ได้หรือไม่ ทุกวันมีแต่อาหารแบบนี้ ข้าชักจะกินไม่ลงเสียแล้ว ซานเหนียง ท่านดูข้าสิ ข้าผอมลงอีกแล้ว"
ซานเหนียงเพียงแค่เหลือบมองหยุนชาง สองวันมานี้ มิใช่ว่าใบหน้าของหยุนชางที่ซีดลงทว่านางดูเหมือนจะผอมลงอยู่หลายส่วน เมื่อเงียบไปได้ครู่หนึ่ง. นางจึงพูดขึ้นมาว่า "หม่อมฉันเคยถามไปแล้วเพคะ ทว่าคนในห้องเครื่องนั้น ต่างก็ไไม่รู้วิธีทำอาหารแคว้นหนิง หม่อมฉันก็จนใจ"
หยุนชางได้ยินเช่นนั้น จึงรีบร้อนพูดขึ้นมาว่า "อาหารแคว้นหนิงทำไม่ยากเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่ามีแค่เครื่องเทศบางชนิดเท่านั้นที่ไม่สามารถขาดไปได้ เกรงว่าจะต้องออกไปหาซื้อสักหน่อย. ถ้าเช่นนั้น ข้าจักเขียนสูตรอาหารให้ท่าน ซานเหนียงก็นำไปให้ห้องเครื่อง แล้วให้พวกเขาไปหาซื้อวัตถุดิบมาทำให้สักหน่อยได้หรือไม่ "
ซานเหนียงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จึงพยักหน้ารับคำ ใบหน้าของหยุนชางมีแต่ความดีใจ พร้อมรีบร้อนเดินไปบนโต๊ะฉิน เพื่อนำกระดาษมาจดสิ่งของวัตถุดิบที่ต้องการ เมื่อรอจนน้ำหมึกแห้งแล้ว จึงยื่นส่งให้ซานเหนียง
เมื่อขบคิดอยู่นาน หยุนชางจึงพูดขึ้นมาว่า "ใช่แล้ว ข้ายังอยากกินขนมกุ้ยฮวา เมื่อครั้งห้องเครื่องไปซื้อวัตถุดิบนั้น ให้พวกเขาช่วยซื้อขนมกุ้ยฮวากลับมาให้ข้าด้วยได้หรือไม่ ? "
ซานเหนียงที่รับกระดาษมาแล้ว พลางพับใส่แขนเสื้อ จึงเดินมาที่โต๊ะเพื่อเก็บสำรับอาหาร พร้อมพูดขึ้นมาว่า "หม่อมฉันไม่ทราบเช่นกันเพคะ. เกรงว่าต้องถามทางห้องเครื่องเสียก่อน"
"ถามเลย ถามให้ข้าหน่อย ขนมกุ้ยฮวานั้นในเมื่องจิ่นมีขายอยู่สองสามร้าน เพียงแค่ซื้อมาไม่กี่ชิ้นให้ข้าก็พอ ถึงแม้รสชาติจะสู้หอยวี่หมั่นที่แคว้นหนิงไม่ได้. ทว่าก็ดีกว่าไม่ได้กิน " หยุนชางยิ้มปลื้มปริ่มพูดขึ้นมา
วันที่สอง ก็มิได้ทำให้หยุนชางผิดหวัง สำรับอาหารเย็นที่ส่งมาจึงถูกเปลี่ยนเป็นอาหารแคว้นหนิงทั้งหมด อีกทั้งยังมีจานขนมกุ้ยฮวาอีกด้วย หยุนชางที่เห็นดังนั้น จึงรีบร้อนวิ่งมายังที่โต๊ะอาหารแล้วนั่งลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเมื่อมองไปที่ซานเหนียงที่นำสำรับอาหารแต่ละจานออกมา สายตาเต็มไปด้วยความปลื้มปิติเป็นอย่างมาก
ซานเหนียงที่เห็นลักษณะหยุนชางดังนั้น นางพลันขมวดคิ้วลง พร้อมพูดขึ้นมาว่า "อาหารพวกนี้ แค่ดมกลิ่นก็ได้แต่กลิ่นพริกลอยมา ก่อนหน้านั้นหม่อมฉันมิทันได้ระวัง จึงกินพริกไปนิดเดียว เป็นรสชาติที่ไม่สามรถลืมได้ลงเลยทีเดียว มิรู้ว่าทำไมพวกท่านถึงกินลงไปได้"
หยุนชางยิ้มตาหยี พร้อมทั้งเอาตะเกียบคีบเนื้อปลากระพงขึ้นมาเข้าปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ พร้อมส่งรอยยิ้มออกมาว่า "น้ำและพื้นดินมิใช่หล่อเลี้ยงคนเป็นแสนหรือ ข้าตั้งแต่เล็กจนโตชอบกินรสชาติเผ็ดเป็นชีวิตจิตใจ แต่ว่าครั้งนั้น เสด็จแม่มิได้อยู่เคียงข้าง ฮองเฮาก็เอาแต่ดูแลแต่เสด็จพี่ ข้ารับใช้เห็นข้าก็มิค่อยดูแลเท่าไหร่ โดยธรรมชาติอะไรที่สามารถตัดไปได้พวกเขาก็คงตัดทิ้ง ตั้งแต่นั้นมา สิ่งที่ข้าดีใจที่สุดคือการได้กินอาหารรสจัด อีกทั้งยังทำให้กินอิ่มอีกด้วย จะอร่อยหรือไม่อร่อยนั้น นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง "
เมื่อพูดจบ พลางคีบเนื้อที่แดง ๆ ขึ้นมา พร้อมพูดต่ออีกว่า "หลังจากนั้น เนื่องจากร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง จึงถูกส่งไปรักษาตัวอยู่ที่วิหารแคว้นหนิงอยู่นาน ภายในวิหารก็ไม่ค่อยได้กินเนื้อสัตว์ ดังนั้น ความปราถนาอันสูงสุดของข้าคือการได้กินเนื้อ เมื่อผู้คนในวิหารเผลอตัวเมื่อไหร่ ข้าก็มักจะแอบไปที่ด้านหลังวิหารเพื่อจับสัตว์ป่าบางชนิดมาทำอาหารกินอย่างเงียบ ๆ มีบางครั้งข้าเคยเกือบตกหน้าผาเพราะไล่จับกระต่ายเพียงตัวเดียวด้วย"
"หลังจากนั้น เมื่อใกล้จะถึงวัยปักปิ่นแล้ว จึงได้ถูกพากลับไปที่เมืองหลวงอีกครั้ง เสด็จแม่ที่ออกมาจากตำหนักเย็นพอดี จึงได้พบเข้ากับท่านอ๋อง อาการจึงดีขึ้นมาเล็กน้อย จึงเริ่มได้มีโอกาสกินอาหารที่ตนเองชอบสักที สิ่งที่ชอบที่สุด คือขนมกุ้ยฮวาที่หอยวี่หมั่น ทุกครั้งที่แคว้นหนิงท่านอ๋องมักจะซื้อมาให้ข้าอยู่เสมอ " หยุนชางพูดไปยิ้มไป สายตาเต็มไปด้วยความอบอุ่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง