หยุนชางเลิกคิ้ว "เจ้าอาวาสมีความลับอะไรให้อ๋องเจ็ดจับได้หรือเพคะ"
ลั่วชิงเหยียนพยักหน้าเบา ๆ ด้วยสีหน้ารอดูเรื่องสนุกๆ ที่จะตามมา "เจ้าอาวาสนั่นเดิมเป็นนักโทษประหาร อีกทั้งเขาเป็นนักโทษประหารที่ลอบสังหารอดีตจักรพรรดิ เดิมทีเขาควรจะต้องตายไปนานแล้ว แต่อยู่ดีๆ กลับปรากฏตัวที่สำนักเชียนโฝ อีกทั้งยังเป็นถึงเจ้าอาวาส เรื่องนี้มิน่าแปลกใจเลยรี? อ๋องเจ็ดจึงได้สั่งให้หัวหน้าของสำนักเชียนโฝเขียนรายงานเรื่องนี้แล้วทูลฝ่าบาท และรายงานนั้นส่งถึงฝ่าบาทเมื่อเช้านี้พอดี"
หยุนชางขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเรื่องนี้ "แต่หากเป็นเช่นนี้ มันมิได้ไม่เกี่ยวอะไรกับองค์หญิงใหญ่เลยมิใช่หรือ? ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็ไปถึงองค์หญิงใหญ่ไม่ได้อยู่ดี"
"อืม" ลั่วชิงเหยียนอมยิ้ม "นายชี(อ๋องเจ็ด)ให้หัวหน้านั้นรายงานเรื่องนี้ในฐานะที่เป็นห่วงองค์หญิงใหญ่ เพียงเพราะต้องการให้ฝ่าบาทสนใจนางให้มากขึ้นกว่าเดิม" หยุดไปครู่หนึ่ง ลั่วชิงเหยียนก็ยิ้มมุมปาก "นอกจากนี้แล้ว องค์หญิงใหญ่มิทราบเรื่องนี้ แม้ว่าหยุนกุ้ยเฟยจะหยุดท่านฮูหยินหลิ่วเอาไว้ได้ แต่รายงานเรื่องนี้มาอย่างบังเอิญเกินไป นางคงคิดว่ามีคนอื่นๆ นำเรื่องวันนี้ไปทูลฝ่าบาทกระมั้ง"
ดวงตาของหยุนชางเป็นประกาย และเข้าใจทันทีว่าเหตุใดลั่วชิงเหยียนจึงทำสีหน้ารอดูเรื่องสนุก
หยุนชางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเบา ๆ "ตั้งแต่ที่เรามาถึงแคว้นเซี่ย ผู้คนจำนวนมากที่ซุ่มซ่อนอยู่ก็เริ่มเคลื่อนไหวเรื่อยๆ ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก องค์หญิงเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาทันทีที่กลับเมืองจิ่น แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่มีใครสังเกตเห็นว่านางเป็นเช่นนี้?"
"อาจจะมิใช่ว่าไม่มีใครสังเกตเห็น อย่างน้อยตอนนี้ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้แล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดพระองค์จึงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย จากบันทึก ตั้งแต่โบราณมาน้อยครั้งที่จะมีผู้หญิงขึ้นครองบัลลังก์ องค์หญิงใหญ่เป็นผู้หญิง เกรงว่าด้วยเหตุนี้คนส่วนใหญ่จึงมิได้คิดไปทางนั้น เพียงรู้สึกว่าองค์หญิงใหญ่เป็นเจ้าหญิงและมีเกียรติมากจึงไม่เคยสงสัยนาง แต่ครั้งนี้เป็นดั่งที่เจ้ากล่าว องค์หญิงใหญ่เห็นว่าข้ากลับมาที่แคว้นเซี่ย นางคงทนไม่ไหวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนนี้นางอายุ 50 แล้ว และไม่มีเวลามากพอที่จะให้นางรอ" ลั่วชิงเหยียนพูดอย่างเฉยเมย
"เมืองจิ่นนี้คงจะวุ่นวายอยู่ช่วงหนึ่งแล้วล่ะ" หยุนชางถอนหายใจเบา ๆ และยืนขึ้น "อีกไม่กี่วันท่านตาและฉินยีจะมาถึงเมืองจิ่นแล้ว หวังว่าพวกเขาจะมาถึงโดยเร็ว ข้าเองก็จะได้สบายใจมากขึ้น"
ช่วงค่ำ จู่ๆ ก็มีคนจากพระราชวังมาเชิญลั่วชิงเหยียนเข้าวังไป หยุนชางไม่มีเรื่องกระไรทำ จึงไปดูว่าเฉี่ยนอินเตรียมเรื่องงานแต่งงานถึงไหนแล้ว
ลั่วชิงเหยียนได้สั่งให้คนใช้เตรียมลานบ้านไว้ด้านนอกให้กับเฉี่ยนอินและลั่วอี้แล้ว ในวันแต่งงานลั่วอี้จะรีบเฉี่ยนอินออกไปทางประตูหลังจากจวนรุ่ยอ๋อง และจัดโต๊ะงานเลี้ยงภายในลาน คนที่ได้รับเชิญมางาน ส่วนใหญ่เป็นสายลับของนางและลั่วชิงเหยียน ลั่วชิงเหยียนเป็นพยานงานแต่งให้กับทั้งสองคนด้วยตนเอง
หยุนชางเดินไปที่ลานเล็กที่เฉี่ยนอินอาศัยอยู่ พบว่าเฉี่ยนอินกำลังนั่งเย็บของบางอย่างอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนในลานบ้าน หยุนชางเดินขึ้นไปดูพบว่าเป็นภาพยวนยางเล่นน้ำ เห็นเช่นนี้แล้วสีหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
"ทักษะการปักด้วยมือซ้ายของเฉี่ยนอินยอดเยี่ยมขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ" หยุนชางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เฉี่ยนอินได้ยินเช่นนี้จึงสังเกตเห็นหยุนชาง จากนั้นก็เร่งลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวด้วยความกังวลว่า "พระชายามาที่นี่ได้อย่างไรหรือเพคะ? หากว่าท่านมีคำสั่งกระไร ก็ให้คนใช้มาตามหม่อมฉันเข้าไปพบก็ย่อมได้เพคะ"
"ไม่มีเรื่องกระไรหรอก ข้าแต่อยากจะดูเจ้า เจ้าเตรียมงานแต่งถึงไหนแล้ว" หยุนชางถามเบาๆ
เฉี่ยนอินไม่คาดคิดว่าหยุนชางมาที่นี่เพื่อถามเรื่องนี้ นางเกาหัวด้วยความเขินอายและกล่าวว่า "เรื่องส่วนใหญ่ลั่วอี้เป็นคนเตรียมเพคะ อันที่จริงหม่อมฉันไม่มีกระไรให้เตรียมเลยเพคะ ฉะนั้นจึงถือโอกาสนี้เย็บปักถักร้อย จะว่าไปวันนี้นอกจากเย็บปักถักร้อยแล้วก็ไม่มีอะไรทำแล้วเพคะ"
"เจ้าเด็กโง่ เจ้าแค่รอเป็นเจ้าสาวก็พอ" หยุนชางกล่าวพร้อมยิ้ม
เฉี่ยนอินเก็บของต่างๆ กลับไป แล้วยืนขึ้นพร้อมกล่าวว่า "หม่อมฉันได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนองค์หญิงใหญ่ในวันนี้แล้วเพคะ หม่อมฉันคิดว่า องค์หญิงใหญ่คงจะไม่ไหวแล้วเพคะ แต่ไม่รู้ว่านางจะทำอย่างไร หม่อมฉันแต่งงานก็ดีเพคะ และอาจต้องปรับเปลี่ยนกองกำลังลับในเมืองนี้เล็กน้อย อีกทั้งหม่อมฉันคิดว่า เตรียมห้องลับหรืออุโมงค์ลับในจวนท่านอ๋องก็ดีเหมือนกันเพคะ เหลือหนทางออกอื่นๆ ไว้บ้างไม่เสียหายเพคะ"
เฉี่ยนอินพูดจาสับสนเล็กน้อย แต่หยุนชางก็หัวเราะขึ้นมา "เจ้าคิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาได้ก็ย่อมดี หากเจ้าอยากทำกระไรก็ทำให้เต็มที่เถิด ข้าสนับสนุนเจ้าอยู่แล้ว"
ทั้งสองคนพูดคุยบางอย่างต่ออีกสักพัก หยุนชางก็กลับไปที่ห้อง หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ลั่วชิงเหยียนก็เดินกลับมาอย่างสบาย ๆ สีหน้าของเขาดูเหมือนจะอมยิ้มเล็กน้อย หยุนชางเห็นเช่นนี้ จึงคิดว่าคงความคืบหน้าบางอย่าง ดังนั้นก็รีบไปถอดเสื้อคลุมของลั่วชิงเหยียนออกและกล่าวว่า " เกิดกระไรขึ้นหรือ? ฝ่าบาททรงตามเจ้าเข้าเฝ้าเพราะการใดหรือ?" นางส่งเสื้อคลุมให้เฉี่ยนหลิ่วแล้วจึงถามว่า "รับประทานอาหารเย็นหรือยัง?"
ลั่วชิงเหยียนพยักหน้าเบา ๆ "เมื่อตอนอยู่ในวังข้ารับประทานไปพร้อมฝ่าบาทบ้างแล้ว"
"เช่นนี้คงไม่อิ่มมากนัก เฉี่ยนหลิ่วเจ้าไปบอกคนใช้ให้ไปเตรียมอาหารมา" หยุนชางสั่งด้วยเสียงเบาๆ
ลั่วชิงเหยียนยิ้มและมองไปที่หยุนชาง ดึงนางมาให้นั่งข้างตนและกล่าวว่า "เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า ป้ายองครักษ์ถูกมอบให้ใครดูแลหลังจากที่เจ้าประสบอุบัติเหตุครั้งนั้น?"
หยุนชางเหลือบมองลั่วชิงเหยียน และไม่เข้าใจเหตุใดเขาจึงถามเช่นนี้ " แน่นอนว่าจำได้ ให้ฮวากั๋วกง ซูฉี ซูส่วนหลิ่วจิ้นต้องให้ฝ่าบาทเป็นคนออกพระราชโองการ ป้ายของพวกเขาทั้งสามรวมกันเป็นป้ายที่สมบูรณ์ จากนั้นจึงจะสามารถสั่งการทหารในกององครักษ์ได้"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง