ทุกคนต่างกุลีกุจอเตรียมตัวลงเขาตามหยุนชางไป บนเขาทั้งเปียกทั้งลื่น หยุนชางเดินอย่างทุลักทุเล นางเกือบจะลื่นล้มอยู่หลายครั้ง ดีที่เฉี่ยนหลิ่วและเฉี่ยนจั๋วคอยพยุงนางไว้
เมื่อลงมาถึงตีนเขาก็เป็นเวลากลางวันแล้ว เส้นทางข้างหน้าเป็นทางราบ เฉี่ยนหลิ่วและเฉี่ยนจั๋วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ "พระชายา เกิดอะไรขึ้นกับเมืองจิ่นหรือเพคะ?"
หยุนชางขมวดคิ้ว เมื่อนางได้ฟังที่เฉี่ยนจั๋วถาม นางจึงตอบไปว่า "ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของยอดเขากิเลนเป็นที่ตั้งของสำนักเชียนโฝ ข้าลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท จึงไม่ได้ให้คนไปคุมตัวนักบวชที่สำนักเชียนโฝเอาไว้ก่อน หลังจากที่พวกเรายึดครองฐานทัพบนยอดเขาได้สำเร็จ ทหารที่เหลือก็ได้จุดไฟเผากระโจมขึ้นมาเพื่อเป็นการส่งสัญญาณไปบอกฐานทัพจุดอื่นๆ ทหารคนที่คิดฝ่าวงล้อมของเราต้องการมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จึงเป็นไปได้ว่า จะมีคนขององค์หญิงอยู่ที่สำนักเชียนโฝ บางที ในเมืองเชียนเฉิงก็มีเช่นเดียวกัน เปลวไฟบนยอดเขาเป็นสัญญาณส่งไปให้คนขององค์หญิงใหญ่ พวกเขาคงจะมุ่งหน้าไปยังเมืองจิ่นแล้ว เพื่อนำเรื่องนี้กราบทูลให้องค์หญิงใหญ่ทรงทราบ"
เฉี่ยนจั๋วยังคงรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ "ไม่ช้าก็เร็ว องค์หญิงใหญ่ก็ต้องทรงทราบเรื่องนี้อยู่ดี พระชายาเคยรับสั่งว่า ทหารขององค์หญิงใหญ่ที่ซุกซ่อนตัวอยู่หากถูกพวกเราจับได้แล้ว องค์หญิงใหญ่ที่ไม่มีทางเดินถอยหลังกลับ ก็จะกลายเป็นลูกไก่ในกำมือให้พวกเราจับเล่นสบายๆเลยไม่ใช่หรือเพคะ?"
"ก็ใช่ องค์หญิงใหญ่ที่ไม่มีทางเดินถอยหลังกลับแล้ว แต่ถ้าเราต้องการให้นางมาเป็นลูกไก่ในกำมือ ก็ต้องรีบจับตัวนางมาไว้ มิเช่นนั้นแล้ว หากฝ่ายส่งสารขององค์หญิงใหญ่เดินทางไปถึงเมืองจิ่นก่อนพวกเราแม้เพียงก้าวเดียว องค์หญิงใหญ่ทรงทราบเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อไร ก็คงจะงัดเอาแผนสุดท้ายออกมาใช้ ซึ่งก็คงมีอยู่วิธีเดียว นั่นก็คือการสังหารฮ่องเต้เพื่อแย่งชิงบัลลังก์!" หยุนชางพูดจบก็หน้าถอดสี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนาวหรือเพราะนางรู้สึกหวั่นใจกันแน่
เมื่อเฉี่ยนหลิ่วและเฉี่ยนจั๋วได้ฟังก็ตกใจเป็นอย่างมาก ทั้งสองตกตะลึงอยู่สักพัก แล้วเฉี่ยนหลิ่วจึงถามขึ้นมาว่า "พระชายาเพคะ ความหมายของท่านก็คือพวกเราจะต้องไปให้ถึงเมืองจิ่นก่อนฝ่ายส่งสารขององค์หญิงใหญ่ เพื่อไปเตรียมความพร้อม คอยป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นใช่ไหมเพคะ?"
หยุนชางกัดริมฝีปาก "ไม่เพียงแต่ต้องไปถึงเมืองจิ่นก่อน เรายังต้องตามไปขวางฝ่ายส่งสารขององค์หญิงใหญ่อีกด้วย แล้วแจ้งไปยังกองกำลังองครักษ์ในเมืองจิ่น ให้พวกเขาช่วยหาทางป้องกันให้อีกทาง"
เฉี่ยนหลิ่วได้ฟังแล้วก็ครุ่นคิด ไม่นานนักนางก็หันไปหาหยุนชางแล้วคุกเข่าลง "พระชายา โปรดนำป้ายเคลื่อนกองกำลังองครักษ์มอบให้กับหม่อมฉันเถิดเพคะ หม่อมฉันจะไปจัดการให้เอง ป้ายเคลื่อนกองกำลังองครักษ์เป็นของสำคัญ หม่อมฉันขอให้คำมั่นสัญญาว่า ตราบใดที่หม่อมฉันยังไม่ตาย หม่อมฉันจะเก็บรักษาป้ายเคลื่อนกองกำลังองครักษ์ไว้ยิ่งชีพเพคะ"
หยุนชางตะลึง นางมองไปที่เฉี่ยนหลิ่วแล้วไตร่ตรองอยู่สักพัก จากนั้นจึงพยักหน้า "ได้ ข้าจะให้สายลับ 10 นายติดตามเจ้าไปด้วย มีสายลับ 3 นายที่เดินทางได้รวดเร็ว ให้เขาไปถึงเมืองต่างๆก่อนเจ้า คอยเตรียมเสบียงและม้าไว้ให้เจ้า สายลับอีก 4 นายคอยอยู่ใกล้ๆเจ้า ปกป้องดูแลเจ้าและป้ายเคลื่อนกองกำลังองครักษ์ สายลับอีก 3 นายที่เหลือคอยตามหาฝ่ายส่งสารขององค์หญิงใหญ่และหาทางกำจัดทิ้งเสีย"
เฉี่ยนหลิ่วรับคำ หยุนชางพูดต่อไปอีกว่า "ข้าจะมอบป้ายประจำตัวพระชายาให้กับเจ้าด้วย เมื่อเจ้ากลับไปถึงเมืองจิ่นแล้ว จงไปพบฮวากั๋วกงที่จวนกั๋วกง บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เขาฟังโดยละเอียด นำป้ายเคลื่อนกองกำลังองครักษ์มอบให้เขา ให้เขาจัดคนออกติดตามร่องรอยของฮ่องเต้"
เฉี่ยนหลิ่วน้อมรับคำสั่ง หยุนชางถอนหายใจออกมา แล้วหยิบป้ายเคลื่อนกองกำลังองครักษ์กับป้ายประจำตัวพระชายาส่งให้กับเฉี่ยนหลิ่ว "ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงสุขภาพของข้า ไม่อยากให้ข้าไปเสี่ยงอันตราย ความดีครั้งนี้ข้าจะจดจำไว้ไม่มีวันลืมเลย"
เฉี่ยนหลิ่วคารวะหยุนชาง "พระชายาทรงเป็นนายเหนือหัวของหม่อมฉัน การได้ปกป้องพระชายายิ่งชีพถือเป็นเกียรติภูมิสูงสุดของหม่อมฉัน หม่อมฉันต้องขอทูลลาก่อนนะเพคะ"
หยุนชางพยักหน้า เฉี่ยนหลิ่วขึ้นไปบนหลังม้า แล้วออกเดินทางไปพร้อมกับสายลับอีก 10 นาย
หยุนชางมองดูพวกเขาคล้อยหลังไป แล้วจึงหันมาพูดกับหลิวหมิง "ถึงแม้ว่าจะมีเฉี่ยนหลิ่วได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว แต่พวกเราจะชะล่าใจไม่ได้เป็นอันขาด พวกเราจะไปที่เมืองเชียนเฉิงก่อน เมื่อเรียกรวมกองทหารอวี้หลินจนครบแล้วค่อยออกเดินทางต่อไป"
หลิวหมิงรับคำ คณะเดินทางได้มุ่งหน้าไปยังเมืองเชียนเฉิง เมื่อมาถึงที่พัก เฉี่ยนจั๋วก็จัดแจงข้าวของ รอให้กองทหารอวี้หลินมากันครบแล้วก็พร้อมออกเดินทางต่อในทันที ทันใดนั้นก็ปรากฏกองกำลังทหารจำนวนเกือบ 2 แสนนายเดินทางเข้ามาในเมืองเชียนเฉิง สร้างความตกอกตกใจให้กับคนเฝ้าประตูเมืองเป็นอย่างมาก คนเฝ้าประตูถามไถ่ที่มาที่ไป แล้วจึงไปเคาะประตูที่พักของหยุนชาง
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแอบแฝงสิ่งใดอีกต่อไป หยุนชางแต่งตัวเป็นสตรีดังเช่นปกติ และให้หลิวหมิงไปเข้าพบท่านเจ้าเมืองเชียนเฉิง
ไม่รู้ว่าหลิวหมิงและท่านเจ้าเมืองเชียนเฉิงได้พูดคุยอะไรกันไปบ้าง ท่านเจ้าเมืองเชียนเฉิงรีบมาเข้าเฝ้าหยุนชาง ณ ที่พัก เขามีอาการเข่าอ่อน เมื่อคุกเข่าลงต่อหน้าหยุนชางแล้ว จึงเอ่ยขึ้นมาว่า "ขอพระชายาทรงอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันไม่ทราบมาก่อนจริงๆว่าพื้นที่บริเวณนี้จะมีการซุกซ่อนกองกำลังจำนวนมหาศาลเช่นนั้น หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆพ่ะย่ะค่ะ"
หยุนชางส่งยิ้ม นางมองไปที่ท่านเจ้าเมือง สักพักนางก็พูดบางอย่างออกมา น้ำเสียงของนางนุ่มนวล แต่กลับสร้างความกดดันให้กับผู้ฟัง "เช่นนั้นหรือ? ข้ามาถึงเมืองเชียนเฉิงได้เพียง 2-3 วัน ก็รู้แล้วว่าร้านค้าข้าวสารในเมืองเชียนเฉิงของท่านได้ขายข้าวมากพอสำหรับจำนวนคน 1 แสนคน แต่จำนวนประชากรในเมืองเชียนเฉิงมีเพียงแค่ 4 หมื่นคน แล้วจำนวน 6 หมื่นที่เหลือเล่า ท่านเป็นถึงเจ้าเมือง แต่ไม่รู้สึกระแคะระคายแม้แต่น้อยเลยงั้นหรือ? ข้าควรจะกราบทูลเรื่องนี้ต่อฮ่องเต้ดีหรือไม่ ท่านยังอยากจะอยูในตำแหน่งท่านเจ้าเมืองต่อไปอีกหรือไม่?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง