หยุนชางตื่นขึ้นมายามเช้าวันที่สอง. ฟ้ายังมิทันสว่าง นางก็ตื่นขึ้นมาเสียแล้ว หยุนชางไม่อยากจะนอนอืดอาดอยู่บนเตียงอีก จึงเรียกสาวใช้เข้ามาช่วงนางแต่งตัวสวมใส่อาภรณ์พร้อมทั้งเกล้าผมให้นาง
ทุกคนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย "วันนี้ หวางเฟยตื่นเช้าจังเลยเพคะ" เฉี่ยนจั๋วกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
ฉินยีส่งยิ้มให้บาง ๆ พร้อมกล่าวขึ้นมาว่า "หากแต่ยังมีคนที่ตื่นเช้ากว่าหวางเฟยอีก. ราว ๆครึ่งชั่วยามก่อนหน้านั้น พระชายาอ๋องเจ็ดมาขอเข้าเฝ้าเพคะ นู๋ปี๋กล่าวกับนางไปแล้วว่าหวางเฟยจะใช้เวลาตื่นนอนอีกสักพักหนึ่ง หากแต่นางกลับบอกว่า นางจะรอหวางเฟย"
หยุนชางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง พลันขมวดคิ้วมองไปทางฉินยี "อวี้ถงมางั้นหรือ ? "
ฉินยีพยักหน้าเล็กน้อย "เกรงว่าจะมาด้วยเรื่องของอ๋องเจ็ดเพคะ"
"อืม " หยุนชางพยักหน้า พร้อมลุกขึ้นเดินไปยังห้องชำระล้างร่างกาย พลันสมองค่อย ๆ แจ่มใส แล้วจึงเดินออกมาจากห้องชำระล้าง และสั่งสาวใช้ว่า"ไปเชิญพระชายาอ๋องเจ็ดเข้ามาในห้องเสีย นางมิใช่คนอื่นคนไกลที่ใด. เรื่องเช่นนี้ไม่ต้องมากพิธี"
เฉี่ยนจั๋วพลันรับคำ แล้วจึงเดินออกมาจากห้องไป
ฉินยีนำอาภรณ์ชุดกระโปรงสีชมพูมาให้หยุนชางสวมใส่ พร้อมพาหยุนชางมานั่งลงด้านหน้าของกระจกสีทองแดง "วันนี้ หม่อมฉันจะปักปิ่นทรงดอกไม้ให้หวางเฟยจะทำให้ดูสวยสง่าขึ้นมา"
หยุนชางพยักหน้ารับเล็กน้อย ฉินยีจึงเร่งมือหยิบหวีขึ้นมาสางผมอย่างรวดเร็ว แล้วจึงทำทรงผมให้หยุนชางอย่างประนีต
ยังมิทันจะได้จัดทรงผมเสร็จ ฮวาอวี้ถงพลันเดินตามเฉี่ยนจั๋วเข้ามาในห้องทันที
หยุนชางจ้องมองไปยังกระจกทองแดงตรงหน้า พลันสะท้อนให้เห็นใบหน้าอันขาวซีดของฮวาอวี้ถง ภายใต้ดวงตามีรอยคล้ำเล็กน้อย ราวกับคนที่มิได้หลับไม่ได้นอนมานาน. เมื่อเห็นฮวาอวี้ถงเป็นเช่นนั้น หยุนชางพลันตะตะลึงไปไม่น้อย
"เจ้า. เป็นอะไรไป ? ทำไมถึงดูไม่สดใสเลยเล่า " หยุนชางพลันเปิดประเด็นพูดขึ้นมา
ฮวาอวี้ถงพลันก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางค่อย ๆ ถอนหายใจออกมา "ไม่กี่วันนั้นอ๋องเจ็ดได้เข้าวังไป จนวันนี้ก็ยังมิได้กลับมาที่วังอีกเลย. ข้าจำได้ว่าวันนั้นฝ่าบาทเรียกให้อ๋องเจ็ดออกไปนั้น. สีหน้าของฝ่าบาทดูกรุ่นโกธรเป็นอย่างมาก ข้ากังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับท่านอ๋องได้ หากแต่ข้าก็ไม่รู้ว่าจะไปถามข่าวคราวในพระราชวังได้จากที่ใด ข้ากังวลมาสองวันแล้ว วันนี้ท่านอ๋องก็ยังมิกลับเข้าวังมาอีก จึงอดไม่ได้ที่มาจวนรุ่ยอ๋องเพื่อสอบถามเรื่องราวกับรุ๋ยอ๋อง"
หยุนชางได้ยินเช่นนั้น พลันตกตะลึงไปชั่วครู่ นางมิได้คิดถึงสถานการณ์ที่ฮวาอวี้ถงต้องพบเจอเลย นางสามารถรับรู้ข่าวสารจากในพระราชวังได้ หากแต่อวี้ถงเพิ่งแต่งเข้าวังอ๋องเจ็ด แม้ว่าจะไม่ค่อยได้รับความสนใจจากท่านอ๋องเจ็ดและข้ารับใช้ในวังมากนัก ทว่า อ๋องเจ็ดเป็นสามีของนาง เป็นอย่างที่ฮูหยินกั๋วกงได้กล่าวไว้. นิสัยของฮวาอวี้ถงนั้นเป็นคนตรงไปตรงมา นางมิได้มีเล่ห์เหลี่ยมมากนัก เกรงว่า สองวันที่ผ่านมานั้น นางคงจะกังวลแทบแย่ แม้ว่านางจะมิได้มีใจให้กับอ๋องเจ็ดมากนัก แต่อย่างไรอ๋องเจ็ดก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนาง อีกทั้งยังเป็นเสาหลักของนางอีกด้วย
เมื่อหยุนชางคิดถึงเรื่องนี้แล้ว จึงยกมือเป็นสัญญาณให้ฉินยีหยุดมือชั่วครู่ พร้อนหันไปดูสีหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลของฮวาอวี้ถง "ข้ารู้อะไรบางอย่างมา แต่ว่า อวี้ถงเจ้ามิต้องกังวลไป ฝ่าบาทสั่งให้อ๋องเจ็ดคุกเข่าอยู่ข้างนอกตำหนักเป็นเวลาสองวันแล้ว ข้าคิดว่า วันนี้ยามเที่ยง ท่านอ๋องเจ็ดคงจะได้เสด็จกลับวังแล้วกระมัง"
"คุกเข่าสองวันสองคืนเลยหรือ ? "อวี้ถงได้ยินเช่นนั้น สีหน้าซีดเผือดลงไปหลายส่วน "หากเป็นผู้คนธรรมดานั่งคุกเข่าเพียงสองวันก็ไม่ดีแล้ว ทว่า อ๋องเจ็ดร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง อีกทั้งยังต้องนั่งคุกเข่าเป็นเวลานานเช่นนี้ เขาจะรับไหวได้อย่างไร"
หยุนชางรีบร้อนปลอบใจนาง "อวี้ถงเจ้าต้องเชื่อใจข้า อ๋องเจ็ดจะมิเป็นอันใดแน่ เมื่อวานรุ่ยอ๋องเข้าวังไป เพื่อขอร้องช่วยอ๋องเจ็ดแล้ว ตอนนี้ข้าก็กำลังจะเตรียมตัวเดินทางเข้าวังไปดู"
ฮวาอวี้ถงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงคว้าแขนของหยุนชางเอาไว้อย่างรวดเร็ว "ชางเอ๋อร์. เจ้าพาข้าเข้าวังไปด้วยได้หรือไม่ "
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง