หยุนชางพลันจับมือลั่วชิงเหยียนเบา ๆ พร้อมหันไปพูดกับเฉี่ยนจั๋วว่า "พอแล้ว. พวกเราออกมากันนานแล้ว ได้เวลากลับจวนเสียที หากช้ากว่านี้เกรงว่าฟ้าจะมืดเสียก่อน"
ลั่วชิงเหยียนพลันพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมพยุงหยุนชางเดินออกไปข้างนอก หากแต่อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปสั่งกับเฉี่ยนจั๋วว่า "เฉี่ยนจั๋วอย่าได้ยั้งมือ หวางเฟยของเจ้าต้องก้าวเดินอย่างช้าๆ เจ้าลองคิดคำนวณเวลาแล้วตามพวกข้ามาเองเถิด "
เฉี่ยนจั๋วรับคำสั่งมาด้วยความเบิกบานใจไม่น้อย
หยุนชางกำลังจะเอ่ยปากเรียกเฉี่ยนจั๋วให้กลับมา ทว่า ถูกลั่วชิงเหยียนพาเดินออกมาจากป่าไผ่แล้ว
หยุนชางขมวดคิ้วลงเล็กน้อย "แม้ว่าหวังฉงเหวินจะไม่มีตำแหน่งหน้าที่การงานภายในราชสำนัก. หากแต่เขานับได้ว่าเป็นมหาเศรษฐีในเมืองจิ่น ฝ่าบาทยังต้องพึ่งพาเขาอยู่อีกมาก พวกเราลงโทษนางเช่นนี้อาจจะ"
ลั่วชิงเหยียนพลันส่ายหน้าไปมา พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "มิต้องกังวลไป หวังฉงเหวินผู้นั้น ข้าเคยพบเขามาแล้ว เขาเป็นคนที่รู้จักแยกแยะเรื่องงานได้เป็นอย่างดี. เขารู้ตัวเองดีว่าควรวางตัวเช่นไรกับเรื่องนี้ หน้าที่ส่วนใหญ่ของเขาล้วนแต่ทุ่มเทไปกับการบริหารธุรกิจ เนื่องจากว่า. เขาไม่สามารถสั่งสอนบุตรีของตนเองได้ เขาจะไม่พยายามมาโวยวายใส่ข้าแน่"
หยุนชางพลันครุ่นคิดไปครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้าลง พลางเดินตามลั่วชิงเหยียนไปด้านหน้าภูเขา
เป็นดั่งที่ลั่วชิงเหยียนคิด. เมื่อพวกเขามาถึงรถม้าได้ไม่นาน เฉี่ยนจั๋วพลันรีบร้อนวิ่งมาถึงรถม้าพอดี. ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม หยุนชางเห็นนางดังนั้น จึงคร้านที่จะสนใจสถานการณ์เรื่องนี้อีกต่อไป เมื่อนางได้ยินสตรีผู้นั้นพูดวาจาเช่นนั้นขึ้นมา ภายในใจจึงรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก. แต่เดิมนางก็มิได้มีนิสัยที่อ่อนโยนหรือเชื่อฟังคำสั่งของใครอยู่แล้ว เฉี่ยนจั๋วจึงถือว่าช่วยนางระบายอารมณ์กรุ่นโกธรออกไป
หากแต่หยุนชางเพียงยิ้มเล็กน้อยเท่านั้นและมิได้เอ่ยตำหนิแต่อย่างใด
เมื่อกลับมาถึงจวน ท้องฟ้าก็ดำมืดเสียแล้ว จึงกลับไปยังตำหนักเพื่อรับสำรับเย็น เฉี่ยนจั๋วก็ได้ออกไปสืบข้อมูลกลับมาแล้ว"ท่านอ๋องเจ็ดยังอยู่ข้างหน้าตำหนักไท่จี๋เพคะ ได้ยินมาว่าหลังจากที่อ๋องเจ็ดสลบไป เมื่อฟื้นขึ้นมาก็นั่งคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักเช่นเดิม วันนี้ทั้งวันแม้แต่ประตูของตำหนักไท่จี๋ ฝ่าบาทก็ไม่เสด็จออกมาเลยเพคะ "
หยุนชางพลันขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงหันหน้าไปหาลั่วชิงเหยียนว่า "ท่านคิดว่า ฝ่าบาทอยากจะให้เหล่าข้าราชบริพารได้เห็นอ๋องเจ็ดคุกเข่าหน้าตำหนักไท่จี๋ ก่อนยามว่าความตอนเช้าพรุ่งนี้ใช่หรือไม่"
ลั่วชิงเหยียนพลันพยักหน้าอย่างไม่ได้สนใจ "อาจจะ"
หยุนชางค่อย ๆถอนหายใจออกมา "ฝ่าบาท มิได้กังวลถึงร่างกายที่อ่อนแอและต้องลมของอ๋องเจ็ดเลยหรืออย่างไร ร่างกายเช่นนี้หรือจะมาทนไหวต่อการลงโทษเช่นนี้ได้"
"วิธีการเช่นนี้. เพียงแค่ทำให้เหมือนเป็นการลงโทษที่หนักมากเท่านั้น " ลั่วชิงเหยียนพลันหัวเราะออมาด้วยความเย็นชาพร้อมอ่านตำราไปด้วย
หยุนชางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงลุกขึ้นยืน เดินไปนั่งที่ข้างกายลั่วชิงเหยียน พร้อมค่อย ๆ พูดกับลั่วชิงเหยียนว่า "ท่านอ๋อง คราวนี้ก็เป็นโอกาสอันดีนะเพคะ ฝ่าบาทไม่ชอบที่สุดคือการต่อสู้กันระหว่างพี่น้อง หากเก้าอี้เพียงตัวเดียวสามารถทำให้พี่น้องต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้แล้ว. หากหม่อมฉันเป็นท่านอ๋อง. ตอนนี้หม่อมฉันคงจะบุกเข้าไปในวังทันที พร้อมทั้งนั่งคุกเข่าเป็นเพื่อนอ๋องเจ็ดเป็นแน่ และขอร้องอ้อนวอนเพื่อช่วยอ๋องเจ็ด "
"ข้อร้องอ้อนวอนเพื่อเขา ? " ลั่วชิงเหยียนพลันยิ้มอย่างเย็นชาออกมา ทว่า ก็มิได้เอ่ยอันใดอีก
หยุนชางรับรู้ได้ว่าเขาไม่พอใจเล็กน้อย จึงใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนลง "เพคะ ขอร้องอ้อนวอนเพื่อช่วยอ๋องเจ็ด. ในเมื่อพวกเราเข้าใจแล้วว่าต่อไปนี้ฝ่าบาทจะไม่ไม่ปล่อยให้อ๋องเจ็ดทำตามอำเภอใจอีกต่อไป เมื่อเรารู้ผลลัพธ์ที่แน่นอนเช่นนี้แล้ว ท่านอ๋องไม่สู้เข้าวังไปขอร้องอ้อนวอนเพื่อช่วยอ๋องเจ็ดหรือเพคะ บางทีท่านอาจจะได้รับชื่อเสียงเรียงนามที่เชิดชูและชื่นชมในฐานะพี่ชายที่ช่วยน้องและในนามสหายอีกด้วย"
ภายในใจของลั่วชิงเหยียนไม่อยากจะยอมรับ ทว่ากลับฟังเรื่องราวทั้งหมดเข้าไปแล้ว. หยุนชางพูดขึ้นเช่นนี้. เขาจึงเข้าใจเป้าหมายของหยุนชางในทันที เพียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมพยักหน้าเล็กน้อย แล้วยืนขึ้นถอนหายใจออกมาเบา ๆ "ได้. ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปแล้ว"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง