ลั่วชิงเหยียนพยักหน้าเล็กน้อย เสมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่นาน เพียงครู่หนึ่งจึงเอ่ยออกมาว่า "ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นชางเอ๋อร์ทำงานเย็บปักถักร้อยเลย ?"
ฉินยีได้ยินเช่นนั้น จึงรีบร้อนพูดขึ้นมาว่า "หวางเฟยแต่เล็กจนโตมิได้เติบโตขึ้นมาข้างกายจิ่นเฟยเหนียงเหนียงเพคะ จึงทำให้ไม่มีผู้ใดสอนการเย็บปักถักร้อยให้ หลังจากนั้นไม่นาน. ยังถูกฝ่าบาทส่งไปรักษาตัวที่วิหารแคว้นหนิงอีก จนกระทั่งถึงวัยปักปิ่นจึงได้กลับมายังเมืองหลวง ท่านอ๋องต้องการปักอะไรหรืออยากได้ลายปักอาภรณ์ตัวใดสั่งนู๋ปี๋มาได้เลยเพคะ "
ลั่วชิงเหยียนรู้สึกได้ว่าฉินยีเข้าใจความหมายของเขาผิดไป "ข้าเพียงแค่มิเคยเห็นชางเอ๋อร์จับฝีเข็มเลยสักครั้งจึงถามดู หากแต่ ข้าก็คิดไม่ออกเช่นกันว่าชางเอ๋อร์ที่หยิบจับฝีเข็มขึ้นมาเย็บปักถักร้อยจะมีลักษณะเป็นเช่นไร "เมื่อพูดจบพลางหัวเราะขึ้นมา
ฉินยีเห็นสีหน้าของลั่วชิงเหยียนที่มิได้มีสีหน้าตำหนิติเตียนแต่อย่างใด จึงรีบร้อนเปิดประเด็นขึ้นมาว่า "ท่านอ๋องยังมิได้รับสำรับเลยใช่หรือไม่เพคะ. นู๋ปี๋จะให้คนไปจัดเตรียมสำรับเข้ามาให้"
ลั่วชิงเหยียนพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมสั่งว่า "เมื่อเตรียมเสร็จแล้วให้คนนำไปส่งที่ห้องตำรา "เมื่อพูดจบพลันเดินออกไป เมื่อไปถึงประตูแล้วจึงหันกลับมากล่าวว่า "เมื่อใกล้จะจัดเตรียมสำรับเสร็จแล้ว เจ้าไปปลุกหวางเฟยเสีย. สำรับข้าวเที่ยงนางยังมิได้ทานเกรงว่าตอนนี้คงจะหิวแล้ว"
ฉินยีพลันรับคำ เมื่อส่งลั่วชิงเหยียนเดินออกไปแล้ว จึงหันไปสั่งสาวใช้ให้ลงไปจัดเตรียมสำรับ
เมื่อสั่งงานสาวใช้เสร็จ ฉินยีจึงเดินเข้ามาภายในห้อง สายตาพลันเห็นด้านหน้าของเตียงมีเสื้อผ้าอาภรณ์หล่นกระจัดกระจายอยู่เช่นนั้น แววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงรีบเก็บอาภรณ์ที่อยู่บนพื้นมาวางไว้อีกฝั่งหนึ่ง อาภรณ์บางตัวมีชำรุดไปบ้าง ฉินยีจึงรีบร้อนเดินไปที่หีบเพื่อหยิบอาภรณ์ชุดใหม่ออกมาวางไว้ให้ เพียงเก็บกวาดห้องไปครู่หนึ่ง จึงเดินไปยังข้างเตียง พร้อมส่งเสียงเรียกเบา ๆ ว่า "หวางเฟย"
หยุนชางพลันส่งเสียงเบา ๆ ออกมาจากที่นอน แต่เดิมหยุนชางตื่นตั้งแต่ที่ลั่วชิงเหยียนลุกออกไปจากห้องแล้ว หากแต่ตนเองรู้สึกว่าการใช้เวลากลางวันเพื่อทำเรื่องเช่นนี้นั้น. พวกฉินยีที่รออยู่ด้านนอนจักต้องได้ยินอย่างแน่นอน หยุนชางไม่กล้าลุกขึ้นมา จึงได้แต่นอนถ่วงเวลาอยู่บนเตียงเท่านั้น เมื่อฉินยีเข้ามาเก็บเสื้อผ้าอาภรณ์ภายในห้อง นางจะต้องรู้ได้แน่ว่าเมื่อครู่เกิดอันใดขึ้นมา. เนื่องจากฉินยีเข้ามาปลุกตนเองนั้น นางรับรู้ได้ทันทีว่าใบหน้าของตนเองเห่อร้อนขนาดไหน
"หวางเฟยต้องลุกได้แล้วเพคะ นู๋ปี๋ได้สั่งให้คนจัดเตรียมของกินไว้แล้ว อีกไม่นานก็จะเตรียมส่งขึ้นสำรับแล้วนะเพคะ" ฉินยีกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล
หยุนชางส่งเสียงเบา ๆ พร้อมตอบกลับด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ "ได้ เจ้าไปเรียกท่านอ๋องก่อนเถอะ มิต้องรอข้า ประเดี๋ยวข้าจะลุกออกจากเตียงเอง"
ฉินยีได้ยินเช่นนั้น จึงรับรู้ได้ว่าใบหน้าของหยุนชางบางเกินไป พลางค่อย ๆกลั้นยิ้มออกมา เมื่อรับคำสั่งเสร็จจึงถอยกายเดินออกมาจาห้อง
เมื่อหยุนชางเห็นฉินยีเดินออกไปแล้ว จึงรีบร้อนเปิดม่านบนเตียงออก พร้อมหยิบเสื้อผ้าอาภรณ์ที่วางอยู่ตรงที่นั่งด้านข้างเข้ามา พร้อมสวมใส่อาภรณ์อยู่บนเตียงแล้วจึงลุกขึ้นยืน พลางจัดเก็บผ้าม่านและที่นอนให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
เมื่อฉินยีไปเรียกลั่วชิงเหยียนกลับมานั้น หยุนชางก็ได้นั่งเหม่อลอยอยู่บนตั่งเสียแล้ว เมื่อฉินยีเห็นหยุนชางที่ปล่อยผมสยายไว้เช่นนั้น จึงรีบร้อนให้หยุนชางลุกขึ้นมานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อทำการมวยผมพร้อมปักปิ่นรูปดอกอวี้หลานให้
เพียงผ่านไปสักพัก ลั่วชิงเหยียนจึงเดินเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นหยุนชางที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "ข้าเห็นว่าบนสำรับได้จัดเตรียมขนมกุ้ยฮวาไว้ให้เจ้าด้วย ออกมากินเร็วๆ "
หยุนชางพลันพยักหน้าเล็กน้อย แล้วจึงลุกขึ้นเดินออกไป
เมื่อทั้งสองคนทานสำรับอาหารเรียบร้อยแล้ว ลั่วชิงเหยียนจึงเดินกลับไปที่ห้องตำราตามเดิม หยุนชางที่นอนหลับไปมากแล้ว จึงรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย พลางเอนพิงตั่งอ่านตำรา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง