"แจกันลายครามนี่ข้าเป็นคนเห็นก่อนนะ มันก็ต้องเป็นของข้า ก่อนที่รุ่ยอ๋องจะเสด็จเข้ามาประทับที่นี่ เจ้าก็แอบขโมยของของจวนนั้นไปขายตั้งมากมาย พอมีคนเผลอเข้าหน่อย เจ้าก็ฉวยหยิบเอาไปเป็นของของเจ้า หลังจากที่รุ่ยอ๋องเสด็จเข้ามาแล้ว ถึงเจ้าจะเพลาๆลงเล็กน้อย แต่ก็ยังแอบขโมยของออกมาไม่น้อยอยู่ดี ข้าก็ไม่เคยรายงานพ่อบ้านมาก่อนเลยนะ แต่แจกันลายครามนี่ก็เห็นๆอยู่ว่าข้าเป็นคนไปเจอก่อน เหตุใดเจ้าจึงต้องมาแย่งข้าด้วย พอแย่งเอาไปไม่สำเร็จ ก็ทำแจกันตกแตก" เสียงของผู้ชายพูดขึ้นด้วยความโมโห
ชายอีกคนที่มีท่าทีนิ่งกว่าก็พูดเย้ยหยันขึ้นมาว่า "แล้วจะทำไม? ข้าจะทำอะไรก็จะต้องมาคอยรายงานเจ้าตลอดเลยหรือไง? ข้าได้ของมา แต่พวกเจ้าไม่ได้ หากพวกเจ้าไปเห็นของดีๆแล้วมาบอกให้ข้ารู้ ข้าอาจจะยอมแบ่งสมบัติให้บ้างสักเล็กน้อย อย่างพวกเจ้าน่ะคงจะไม่มีปัญญามีของดีๆได้หรอก"
หยุนชางเลิกคิ้ว ฟังจากสิ่งที่พวกเขาโต้ตอบกันแล้ว ดูเหมือนว่าคนพวกนี้มักจะคอยขโมยของออกไปขายอยู่เป็นประจำ คงเป็นบ่าวไพร่เดิมของจวนรัชทายาท เมื่อตนกับรุ่ยอ๋องเข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้แล้ว ก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจคนพวกนี้เท่าใดนัก ไม่นึกเลยว่าจะมีคนเช่นนี้อยู่ด้วย
หยุนชางส่งสัญญาณลับไปยังสายลับ สายลับก็ได้ปรากฏตัวและพุ่งทะยานเข้าไปปะทะพวกเขาในทันที "พวกเจ้าเป็นใคร มาจับพวกเราทำไม?"
หยุนชางเดินเข้ามา แล้วนางก็ได้เห็นโฉมหน้าของพวกบ่าวขี้ขลาด พวกเขากำลังดิ้น เมื่อพวกเขาหันมาเจอหยุนชางแล้ว พวกเขาก็เงียบเสียงลง
แม้ว่าหยุนชางจะมิค่อยได้ปรากฏกายต่อหน้าผู้คนมากมายนัก แต่เนื่องจากพวกเขาเป็นบ่าวในจวนมานาน จึงจำเจ้านายของตนได้เป็นอย่างดี
หยุนชางจ้องมองพวกเขา นางยิ้มอย่างน่าเกรงขามแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า "ให้พ่อบ้านทำการตรวจสอบว่าพวกเขาขโมยสิ่งใดออกมาจากจวนเพื่อนำไปขายบ้าง"
สายลับรับคำ แล้วรีบจากไปทำภารกิจ
หยุนชางถอนหายใจ นางครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วจึงเอ่ยขึ้นมาว่า "ข้าคงจะตรวจตราเรื่องภายในจวนได้น้อยเกินไปใช่หรือไม่?"
ฉินยีได้ฟังแล้วก็เงียบไป
เมื่อหยุนชางเห็นท่าทีของฉินยีแล้วก็รู้คำตอบได้ในทันที "เจ้าไม่ต้องกลัวว่าข้าจะเสียใจหรอกนะ ข้ารู้ว่าข้าทำได้ไม่ดีพอ ไม่เคยนึกสงสัยคนพวกนี้มาก่อนเลย เป็นคนดีมากไปก็ถูกคนเอาเปรียบ เจ้าไปบอกพ่อบ้านให้ข้าที ให้เขาทำการตรวจสอบบ่าวไพร่ในจวนและทรัพย์สินในจวนทุกๆห้อง แล้วทำเป็นหนังสือส่งมาให้ข้าดู ในจวนก็มีเพียงข้าและท่านอ๋องที่เป็นผู้ปกครองดูแล คงไม่จำเป็นต้องใช้บ่าวไพร่จำนวนมาก ลดจำนวนบ่าวไพร่ลงกึ่งหนึ่งเป็นการชั่วคราว ให้เหลือเฉพาะพวกที่ตั้งใจทำงาน ส่วนคนอื่นๆให้ขายออกไปก่อนชั่วคราว โดยทำสัญญาซื้อขายระยะสั้น"
ฉินยีพยักหน้า นางเงียบไปสักพัก แล้วจึงเอ่ยขึ้นมาว่า "พระชายาทรงเป็นนายของจวน เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ ก่อนที่หม่อมฉันจะมาที่เมืองจิ่น หม่อมฉันเคยได้ยินคนพูดถึงพระชายากันว่า พระชายาทรงเป็นคนหึงหวงพระสวามี ไม่ยอมให้ท่านอ๋องรับอนุภรรยา ในจวนจึงไม่ค่อยมีผู้ใดเพคะ"
หยุนชางรู้สึกอึ้งเล็กน้อย นางหันมามองฉินยี "ทุกครั้งที่มีคนมาพูดเรื่องนี้กับข้า ข้าก็รู้ว่านั่นย่อมมีสาเหตุ แต่เสด็จแม่ของข้าทรงเจ็บช้ำน้ำใจเพราะเสด็จพ่อรับหญิงใหม่เพิ่มเข้ามา นางต้องใช้ชีวิตอยู่ในตำหนักเย็นมากว่า 10 ปี ตอนนี้เสด็จแม่ก็มิโปรดให้เสด็จพ่อมีสนมเพิ่ม ข้ามักจะรู้สึกว่า แม้ว่าทุกวันนี้นางจะได้เป็นคนโปรดของเสด็จพ่อแล้ว แต่ก็คงจะไม่ได้มีความสุขเท่าใด ผู้หญิงเรา ย่อมปรารถานาให้สามีรักเราแค่เพียงคนเดียว"
หยุนชางยิ้ม "ข้าโชคดีที่ท่านอ๋องไม่มีพระชายารอง แล้วเขายังพูดกับข้าอยู่เสมอว่า ชีวิตนี้เขาจะมีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงต้องยึดมั่นในความตั้งใจของข้า คนอื่นจะคิดว่าข้าหึงหวงหรือว่าร้ายกาจก็ช่างเถอะ หากเราไม่หนักแน่นพอ คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องความสุขกันอีกแล้ว"
ฉินยีได้ฟังแล้วก็กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ตัดสินใจที่จะเก็บคำพูดนั้นเอาไว้แล้วถอนหายใจออกมา "เป็นเช่นนี้แล้ว เรื่องที่ไม่ดีก็พาลมาลงที่พระชายาของหม่อมฉันแต่เพียงผู้เดียว พวกเขาหาได้ตำหนิท่านอ๋องไม่......"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง