หยุนชางรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว จึงเตรียมตัวพักผ่อนแต่หัวค่ำ ฉินยีปรนนิบัติหยุนชางจนนอนลงบนเตียง หยุนชางครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อไฉ่ยีว่า "ในเมื่อหัวหน้าหลิวส่งเจ้ามาที่นี่ และตอนนี้เฉี่ยนจั๋วก็ไม่อยู่ ข้าก็จะถือว่าเจ้าเป็นคนที่ข้าไว้วางใจ คืนนี้เจ้าเฝ้าอยู่ในตำหนักบรรทมเถิด"
ความประหลาดใจแวบวาบในดวงตาของไฉ่ยี นางเร่งก้มหน้าลงและตอบรับด้วยเสียงเบาๆว่า "รับทราบเพคะ"
ฉินยีก็ผงะและกำลังจะเอ่ยปากกล่าวกระไรบางอย่างแต่หยุนชางก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่นาง "ฉินยีเจ้าบอกเรื่องที่ควรระวังให้ไฉ่ยีทราบด้วยเถิด หากว่ามีแต่เจ้าคนเดียวที่คอยเฝ้าข้า ร่างกายเข้าก็คงทนไม่ไหวหรอก"
ฉินยีได้ยินหยุนชางกล่าวเช่นนี้จึงพยักหน้า และสั่งการกับไฉ่ยี ไฉ่ยีตั้งใจฟังอย่างมาก แล้วถึงปล่อยม่านเตียงลง จากนั้นนางก็ไปนำผ้าห่มออกมาจากตำหนักข้างแล้วมาปูที่เบาะ
ฉินยีพยักหน้าและลดเสียงเบาลง " ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอตัวก่อนนะ เจ้าคอยระวังไว้ด้วย"
ไฉ่ยีตอบกลับอย่างรวดเร็ว ฉินยีเป่าไฟสี่มุมให้ดับ เหลือเพียงตะเกียงที่สว่างน้อยที่สุด
ไฉ่ยีนอนลงบนเบาะนุ่ม นางจ้องมองไปที่ตะเกียงที่ยังจุดเอาไว้ นางเงียบอยู่นานแล้วจึงอมยิ้มขึ้นมา จากนั้นก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มตัวเอาไว้ พร้อมทั้งปกปิดความแค้นในแววตาไปด้วย
เมื่อราตรีมืดมิด ฝนค่อยๆโปรยปรายอยู่ด้านนอก บริเวณโดยรอบเงียบลงอย่างมาก เสียงที่คลุมเครือของหยุนชางดังมาจากด้านหลังม่านเตียง "ฝนตกอีกแล้วหรือ? อากาศช่วงนี้แย่มากจริงๆ"
ไฉ่ยีตกตะลึงและตอบด้วยเสียงเบาๆว่า " ใช่แล้วเพคะ แต่โชคดีที่ตกในตอนกลางคืน หวังว่าพรุ่งนี้ฝนจะไม่ตกเพคะ มิเช่นนั้นก็คงลำบากตอนออกไปข้างนอกเพคะ"
หยุนชางพึมพำเบาๆ และกล่าวด้วยเสียงที่เบามากๆว่า "เพราะตกตอนกลางคืนนี่แหละ จึงแย่อย่างมาก"
เนื่องจากเสียงของหยุนชางเบาอย่างมาก ไฉ่ยีจึงฟังไม่ชัดว่านางกล่าวกระไร ไฉ่ยีตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่นางก็มิได้เอ่ยปากถาม ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงหายใจของหยุนชางก็ค่อยๆเบาลง
ฝนยิ่งตกยิ่งหนัก มีสายฟ้าแลบพุ่งทะลุท้องฟ้า ทำให้ห้องนั้นสว่างอย่างมาก จากนั้นเสียงฟ้าร้องก็ดังก้องขึ้นมา ไฉ่ยีหลับตาไว้แน่น แต่ร่างกายนางกลับสั่นอยู่เบาๆ นางรวบรวมสติทั้งหมดเอาไว้แล้วฟังเสียงลมหายใจของหยุนชางและฉินยีที่หลับอยู่ตำหนักข้าง เสียงหายใจนั้นเบาและสม่ำเสมออย่างมาก
ไฉ่ยีตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่ง พายุฝนฟ้านอกหน้าต่างก็ค่อยๆ เบาลง มีความเกลียดชังเผยออกที่แววตาของไฉ่ยี นางหยิบปิ่นปักผมที่วางอยู่ใต้หมอนไว้ในมือ แล้วลุกขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ นางมิได้สวมรองเท้า แล้วเดินไปยืนอยู่หน้าม่านเตียงอยู่เป็นเวลานาน เสียงหายใจจากด้านหลังม่านเตียงนั้นผ่อนคลายอย่างมาก ไฉ่ยียกมือขึ้นมาหนึ่งข้างแล้วเปิดม่านออก ส่วนมืออีกหนึ่งข้างก็ซ่อนเอาไว้ด้านหลัง และเก็บมือไว้ในแขนเสื้อพร้อมทั้งจับปิ่นนั้นไว้อย่างแน่น
ม่านเตียงถูกเปิดออก ไฉ่ยีเห็นหยุนชางนอนราบอยู่บนเตียง เห็นว่านางขมวดคิ้วเอาไว้ดูเหมือนจะหลับไม่สบายเท่าไหร่นัก นางกำปิ่นในมือไว้แน่นแล้วมองดูรอบๆ จากนั้นก็ยื่นมือที่ซ่อนเอาไว้ออกมา นางยกมือขึ้นแล้วปักลงอย่างกะทันหัน ปิ่นที่แหลมคมก็ปักตรงไปที่หน้าอกของคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง
เมื่อปิ่นนั้นปักลงไปในระยะที่ห่างจากหยุนชางเพียงสองนิ้ว หยุนชางซึ่งหลับลึกอยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน แล้วเอื้อมมือออกไปคว้ามือนางเอาไว้อย่างรวดเร็ว ไฉ่ยีตกตะลึง นางจึงคิดจะสู้สุดชีวิต และพยายามจะปักปิ่นนั้นลงไปแต่มือนางถูกจับไว้แน่น แขนของนางชาเล็กน้อยและขยับไม่ได้แม้แต่น้อย
มีหวาดกลัวปรากฏขึ้นในดวงตาของไฉ่ยี ดวงตาของนางเบิกกว้างอย่างห้ามไม่ได้และจ้องมองไปที่หยุนชาง "เจ้ามีวิชาศิลปะการต่อสู้ด้วยหรือ?"
หยุนชางหัวเราะอย่างเย็นชา " ข้ามิเคยกล่าวนะว่าข้าไม่มีวิชาศิลปะการต่อสู้" ขณะที่หยุนชางกล่าว นางยกเท้าขึ้นแล้วแตะไปที่ท้องของไฉ่ยีสุดแรง ไฉ่ยีเจ็บปวดอย่างมากและก้มตัวลง ปิ่นปักผมในมือของนางร่วงไปอยู่บนผ้าห่ม
ฉินยีที่อยู่ในห้องข้างๆได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว จึงเร่งสวมเสื้อแล้ววิ่งเข้ามาจากด้านนอก ทันทีที่เข้ามาก็พบสถานการณ์เช่นนี้ ฉินยีตกตะลึงอย่างมาก แล้วมองไปที่หยุนชาง
"ฉินยีเจ้ามานี่" สีหน้าของหยุนชางเฉยเมย นางหันไปสั่งฉินยี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง