เมื่อมีสาวงามโผเข้ามากอด ลั่วชิงเหยียนก็อดยิ้มไม่ได้ เขาสวมกอดหยุนชางเอาไว้และพูดขึ้นมาว่า "ทุกอย่างสามารถควบคุมได้" ส่วนนอกเหนือจากนี้เขามิได้พูดให้หยุนชางได้ฟัง
หยุนชางสะบัดหน้าหนี นางลุกขึ้นและพูดว่า "เมืองหวายอินมีทหารของเราอยู่ไม่ถึงแสนนายนี่เพคะ? ไพร่พลทางฝั่งชางเจียชิงซูก็มีมิใช่น้อยๆ อีกอย่างอ๋องเจ็ดที่เมืองหลิงซีก็ไม่อาจเชื่อใจเขาได้ สงครามครั้งนี้ ท่านอ๋องคิดจะจัดการอย่างไรล่ะเพคะ?"
"เจ้าก็คอยจับตาดูเอาไว้ให้ดีๆก็แล้วกัน" ลั่วชิงเหยียนยังคงพูดจาคลุมเครือต่อไป
เมื่อหยุนชางได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็หันหน้าหนี ไม่ถามสิ่งใดต่อ "เชอะ" นางกล่าวเพียงสั้นๆ "ก็ได้เพคะ แล้วหม่อมฉันจะคอยดู"
แต่หยุนชางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ลั่วชิงเหยียนได้เตรียมแผนการที่เหนือความคาดเดาเอาไว้ด้วย เมืองกานอิ๋งหาใช่เมืองที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แท้ที่จริงแล้ว ภายในเมืองกานอิ๋งได้ระดมไพร่พลเอาไว้ได้มากถึงเกือบ 1 แสนนาย เมืองกานอิ๋งมีภูเขาสูงเป็นปราการด่านหน้า สามารถต้านกำลังของศัตรูได้เป็นอย่างดี กองกำลังฝั่งชางเจียชิงซูที่เพิ่งมาถึงเชิงเขา ก็ถูกหินขนาดใหญ่กลิ้งไล่ลงมาจากด้านบน จนต้องถอยทัพหนีห่างออกไปจนเกือบ 10 ลี้
และลั่วชิงเหยียนยังส่งนกอินทรีบินขึ้นสู่ท้องฟ้าและโปรยจดหมายเปิดศึกลงมา ในจดหมายระบุว่า ลั่วชิงเหยียนรอชางเจียชิงซูอยู่ที่เมืองกานอิ๋ง หากมิขี้ขลาดตาขาว ก็ขอให้มาสู้กันซึ่งๆหน้า
ลั่วชิงเหยียนวิเคราะห์สถานการณ์ไว้อย่างรอบด้าน เขารู้ว่าแม้ชางเจียชิงซูจะหัวร้อน แต่เขาก็เป็นคนทรนงในศักดิ์ศรี จดหมายเปิดศึกนั่นจะเป็นตัวกระตุ้นให้ชางเจียชิงซูเพิ่มความกระหายในชัยชนะมากยิ่งขึ้น เขารีบสั่งคนไปส่งข่าวทันทีว่า เขาจะจัดเตรียมกองกำลัง 1 แสนนายที่แม่น้ำโม่ฮว๋ายเพื่อเดินทางไปยังเมืองกานอิ๋ง
ด้วยเหตุนี้ กองกำลังของแคว้นเย้หลางจึงได้ถูกแบ่งอย่างเป็นสัดส่วน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แคว้นเย้หลางมีกองกำลังทั้งหมดราวๆ 4 แสนนาย เดิมทีกองกำลังจำนวน 1 แสนนายได้ถูกชางเจียชิงซูสั่งให้ไปประจำการอยู่ที่เมืองจาน่า อีก 1 แสนนายถูกส่งมาที่เมืองหลิงซี และอีก 1 แสนนายอยู่ที่แม่น้ำโม่ฮว๋ายซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเมืองหลิงซี
กองกำลังที่ชางเจียชิงซูจัดแบ่งเสร็จสรรพในตอนนี้ ประกอบไปด้วยกองกำลังกองหลักจำนวน 2 แสนนาย มีชางเจียชิงซูเป็นผู้บังคับบัญชาด้วยตนเอง อยู่ที่เมืองจาน่า ส่วนอีก 1 แสนนายที่อยู่เมืองหลิงซี อีก 1 แสนนายที่แม่น้ำโม่ฮว๋าย
ชางเจียชิงซูมองว่า เขาสามารถเข้ายึดครองเมืองกานอิ๋งได้ และเมื่อทหารของลั่วชิงเหยียนพ่ายแพ้ ก็จะต้องไปขอความช่วยเหลือจากกองกำลังของอ๋องเจ็ดที่อยู่ที่เมืองหลิงซี เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว แผนการซุ่มโจมตีและกองกำลังจำนวนกว่า 1 แสนนายที่เขาได้วางเอาไว้ที่เมืองหลิงซีและเมืองชางหนาน ก็จะได้ใช้ประโยชน์ในครานี้นั่นเอง
ชางเจียชิงซูหารู้ไม่ว่า ลั่วชิงเหยียนมิได้อยู่ที่เมืองกานอิ๋ง
หลังจากที่หยุนชางมาถึงเมืองหวายอินแล้ว นางกลัวว่าตนเองจะตกเป็นเป้าสายตาคนอื่นๆ จึงไม่เคยออกจากที่พัก ปกตินางจะมีเฉี่ยนจั๋วคอยอยู่เป็นเพื่อน บางครั้งหลิ่วหยินเฟิงก็จะมาปรึกษาหารือธุระต่างๆกับลั่วชิงเหยียนบริเวณที่พัก ซึ่งทุกๆครั้งที่หลิ่วหยินเฟิงมาพบ ลั่วชิงเหยียนมักจะสั่งให้หยุนชางอยู่แค่ภายในห้อง อยู่เมืองหวายอินมาได้ 10 วันแล้ว นางก็ไม่เคยได้พบกับหลิ่วหยินเฟิงอีกเลย
หยุนชางรู้สึกเบื่อหน่าย แต่ดีที่ฉินยีและเฉี่ยนหลิ่วมาหา
เมื่อมีฉินยีและเฉี่ยนหลิ่วแล้ว หยุนชางก็มีเพื่อนคุยเพิ่มมากขึ้น ทำให้นางมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม หยุนชางเห็นว่าทั้งสามเดินทางมาอย่างกระทันหัน สัมภาระก็มีมาไม่มาก จึงให้เฉี่ยนหลิ่วและเฉี่ยนจั๋วเข้าเมืองไปซื้อหาเสื้อผ้ามาใส่เพิ่ม
เมื่อเฉี่ยนหลิ่วและเฉี่ยนจั๋วพากันออกไปแล้ว หยุนชางก็เรียกให้ฉินยีมานั่งข้างๆนาง "เรื่องที่ข้าไปที่เมืองคังหยาง มีคนนำไปรายงานต่อซูฉี คนที่รู้ว่าข้าไปเมืองคังหยางก็มีอยู่ไม่มาก ข้านับไปนับมา ก็มีเพียงแค่เจ้า เฉี่ยนหลิ่ว และเฉี่ยนอิน"
"เจ้ากับเฉี่ยนอิน คอยอยู่รับใช้ข้ามาตั้งแต่ครั้งที่เรายังอยู่ที่แคว้นหนิง ข้าเชื่อใจพวกเจ้า......" หยุนชางยิ้ม แต่นัยน์ตาของนางกลับดูมีเลศนัย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง