“ไทเฮาเชิญพระชายาอ๋องไปพบที่ตำหนักหย่งโซ่ว”
ขันทีก้มโค้งคำนับให้กับเซี่ยเชียนฮวัน
เซี่ยเชียนฮวันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ที่แท้ก็เป็นคนของเสด็จป้า
เกือบนึกว่าฮ่องเต้เฒ่าย้อนกลับมา พบว่านางแสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือ คิดจะหาเรื่องนาง
“ข้าไปเดี๋ยวนี้” เซี่ยเชียนฮวันหันหน้ามา จงใจขยิบตาใส่เซียวเย่หลัย “ท่านพี่กลับบ้านไปก่อน รอข้านะ”
“ไม่มีใครคิดจะรอเจ้า”
เซี่ยเชียนฮวันทำให้เซียวเย่หลันรู้สึกรังเกียจได้สำเร็จแล้ว
เขาเดินออกจากท้องพระโรงโดยไม่หันหน้ากลับมา ยิ่งเดินยิ่งเร็วขึ้น ราวกับสตรีที่อยู่ด้านหลังเป็นเชื้อโรคระบาด
เซี่ยเชียนฮวันเดินตามขันทีไปยังตำหนักหย่งโซ่ว
เพิ่งก้าวข้ามธรณีประตู นางได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ทำให้รู้สึกสดชื่น ราวกับอยู่ท่ามกลางทะเลดอกไม้ ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึกๆ
ไทเฮาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการปรุงเครื่องหอม
แตกต่างจากผู้สูงอายุคนอื่นที่ชอบจุดธูปไหว้พระ งานอดิเรกของไทเฮาส่วนมากเป็นการปรุงเครื่องหอม ดังนั้นในตำหนักหย่งโซ่วมักจะอบอวนไปด้วยกลิ่นหอม ดึงดูดผีเสื้อมากกว่าตำหนักของนางสนมอื่นๆ
ท่ามกลางกระถางสำริดหยกแต่ละใบ มีหญิงชราผมสีเงินใบหน้ามีเมตตาคนหนึ่งยืนอยู่ แม้บนใบนางจะมีริ้วรอยไปตามกาลเวลา แต่นางก็ยังคงสง่างามและสูงส่ง แค่มองก็รู้ว่าตอนเยาว์วัยนั้นงดงามล่มเมืองเพียงใด
“เสด็จป้า!” เซี่ยเชียนฮวันตะโกนเรียก
ไทเฮาเงยหน้ามา ยิ้มและกวักมาเรียกนาง “ฮวันฮวัน มานี่”
เซี่ยเชียนฮวันเดินไปหาไทเฮา รู้สึกเหมือนตัวเองถูกกลิ่นหอมของดอกไม้และผลไม้โอบล้อมไว้ กลิ่นหอมสุดอลังการ
“เจ้าลองดมนี่คือกลิ่นใด” ไทเฮาหยิบถุงหอมขึ้นมาส่งให้เซี่ยเชียนฮวัน
“กลิ่นอาวุธสงคราม เหมือนกับดาบ”
หลังจากที่เซี่ยเชียนฮวันดม สีหน้าก็เผยความประหลาดใจ
นึกไม่ถึงว่าสามารถปรุงกลิ่นที่มีความอาฆาตพยาบาทเช่นนี้ออกมาได้
ระดับการปรุงเครื่องหอมของไทเฮาไม่ธรรมดาเลย
“เจ้าลองดมอีกรอบ” ไทเฮายิ้ม
“เปลี่ยนเป็นกลิ่นหวานหอมแล้ว เหมือนจะเป็นส้ม หรือกลิ่นพวกผลไม้”
ดมครั้งที่สอง กลิ่นแห่งความอาฆาตจางหายไป กลับแทนที่ด้วยกลิ่นหอมหวานสดชื่น
เซี่ยเชียนฮวันพูดด้วยความชื่นชมจากใจ “ไม่ได้มาเยี่ยมเสด็จป้ามานานแล้ว ฝีมือปรุงเครื่องหอมของพระองค์สุดยอดขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
“เจ้าเด็กน้อย ช่างปากหวาน” ไทเฮายิ้มแล้วส่ายหน้า “เครื่องหอมนี้ชื่อว่าเมามายในสนามรบ เป็นเครื่องหอมที่ข้าคิดค้นและปรุ่งออกมาตั้งแต่อายุเยาว์วัย ไม่นับว่าก้าวหน้า”
เซี่ยเชียนฮวันจับแขนไทเฮาอย่างสนิทสนม “นั่นก็หมายความว่าเสด็จป้าทรงเก่งกาจมาโดยตลอด เป็นยอดอัจฉริยะ”
“พอแล้ว พอแล้ว เลิกประจบข้าได้แล้ว”
ไทเฮาดีดปลายจมูกของเซี่ยเชียนฮวัน จากนั้นก็จูงนางเดินไปตำหนักหลัง
ไทเฮาไม่มีลูกหลานเป็นของตนเอง ดังนั้นจึงสนิทกับครอบครัวหลานสาว โดยเฉพาะเซี่ยเชียนฮวัน นางดูแลเซี่ยเชียนฮวันเป็นดั่งไข่มุกในฝ่ามือ เลี้ยงดูแลไว้ข้างกายตั้งหลายปีจึงค่อยคืนให้กลับจวนอันติ้งโหว
ต่อหน้าไทเฮา ต่อให้เซี่ยเชียนฮวันออดอ้อนเพียงใดก็ไม่เกินขอบเขต
ทั้งสองนั่งลง ไทเฮาจับมือเซี่ยเชียนฮวันและพูดแฝงไปด้วยความหมาย “ฮวันฮวัน เจ้ารู้สึกหรือไม่ กลิ่นของเมามายในสนามรบเมื่อครู่ เหมือนกับใครบางคน”
เซี่ยเชียนฮวันชะงักไป
ไม่นาน นางก็เข้าใจว่าไทเฮาหมายถึงใคร
ทว่านางไม่อยากยอมรับจึงแกล้งทำไขสือ “บนตัวผู้ใดจะมีกลิ่นหอมเช่นนี้ได้ ข้าไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน”
“เด็กไง่” ไทเฮาถอนหายใจ “สามีเจ้าถูกขนานนามว่าเทพสงครามที่ยากหาผู้ใดเทียบ ฆ่าคนมากมาย ร่างกายเขาย้อมไปด้วยกลิ่นคาวของคมดาบและเลือด ข้าพูดถูกหรือไม่?”
เซี่ยเชียนฮวันนิ่งเงียบไปชั่วครู่ “นั่นเป็นกลิ่นอายแห่งความตาย ทั้งไม่หอม และไม่หวาน”
“ที่เจ้ารู้สึกเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะเจ้ายังไม่ได้เดินเข้าไปในใจเขา”
ไทเฮามองนางแล้วพูด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หลังหย่า ราชาสงครามอ้อนขอข้าคืนดี
นางเอกก็ทนไม้ทนมือดีจริง เขาดูถูกเหยียดหยามสารพัด ลงไม้ลงมือเกือบตายก็หลายหน แต่ก็ไม่หย่า ทั้งที่จะว่าไปทางบ้านก็ไม่ได้ห้ามให้หย่านะ...
แสร้งตายไหม จะได้ไปจากกันสักที ให้สมคำโปรยหน่อย...
ก็ยังไม่หย่าที...
ขอให้หย่าให้สำเร็จทีเถอะ จะได้แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ...
คือท่านอ๋องนี้นอนกับใครก็จำไม่ได้อีก น่าจะนอนกับพระชายานั่นแหละ แต่นางร้ายมาสวมรอยแทน อ๋องโง่ก็เชื่ออีกจ้า โอ้ยยยยยยยย พล็อตซ้ำอีกแล้ว...
อยากให้พระชายาหย่าเร็วๆ แนวผัวชั่ว เมียน้อยดอกบัวขาว รวมหัวกันทำร้ายเมียเอก เมียเอกได้แต่ยอมทนจนเกือบตาย สุดท้ายความจริงเปิดเผยตอนจบ กว่าจะมีความสุขก็เกือบตายตั้งหลายครั้งแบบนั้น ไม่อยากให้เป็นเลย...
เรื่องราวจะเฮฮาน่ารักไหมน๊อออ...