ความจริงก็เป็นเช่นนี้
ยามซ่งหวานหว่านรู้สึกว่าได้ซ้อมมือและเล่นจนพอใจแล้ว ค่อยซัดคนทั้งหมดจนหมอบลงกับพื้น
ทั้งก่อนและหลังเบ็ดเสร็จใช้เวลาไปเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
รัชทายาทและซ่งเซียงอี๋ต่างตกตะลึงไปหมด มองดูฉากนี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ หญิงอัปลักษณ์ผู้นี้เป็นเพียงเศษสวะตัวหนึ่งไม่ใช่หรือ นางไปเรียนรู้วรยุทธตั้งแต่เมื่อใด
มิหนำซ้ำยังเก่งกาจถึงปานนี้!
ซ่งหวานหว่านทางหนึ่งกำหมัดจนเกิดเสียง ทางหนึ่งก็ก้าวขึ้นหน้าจับจ้องรัชทายาทราวกับยังสู้ไม่หนำใจพอ
“เจ้า...เจ้าคิดจะทำอะไร” รัชทายาทเสียงสั่น อดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลัง
“ข้าอยากจะ...ชกเจ้า!” เพิ่งจะสิ้นเสียง ซ่งหวานหว่านก็แกว่งหมัดชกไปที่ใบหน้าขาวๆ ดวงนั้นของรัชทายาท
รัชทายาทรีบเบี่ยงตัวหลบไปซ่อนอยู่ด้านหลังคนข้างๆ โดยสัญชาตญาณ พอซ่งหวานหว่านชกหมัดเข้าไป ก็มีเสียงร้องแหลมราวกับหมูถูกเชือดดังขึ้น
“กรี๊ด!! หน้าข้า”
เป็นซ่งเซียงอี๋นั่นเอง
รัชทายาทตระหนกวาบ ตกตะลึงตาค้างไปแล้วเช่นกัน ก่อนจะรีบถามว่า “เซียงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ซ่งเซียงอี๋ร้องไห้กล่าวว่า “พี่ชายรัชทายาท ข้าเจ็บหน้าเหลือเกินเจ้าค่ะ ฮือๆๆ ท่านต้องช่วยข้าเอาคืนนะเจ้าคะ”
รัชทายาทเห็นน้ำตาของซ่งเซียงอี๋ ก็รู้สึกราวกับหัวใจแทบแตกสลาย
เขาถลึงตาใส่ซ่งหวานหว่านอย่างโหดเหี้ยม ดวงตาแดงก่ำราวกับมีความแค้นฝังลึกอยู่ก็มิปาน
“ทำไม? ปวดใจหรือ เป็นเจ้าเองไม่ใช่หรือที่ไปหลบหลังนาง”
“อ๊าก! ข้าจะขอสู้ตายกับเจ้า” รัชทายาทสูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว กระโจนเข้าใส่แล้วเริ่มชกต่อยสะเปะสะปะ
“รัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่แห่งแว่นแคว้น ถึงกับทำตัวเหมือนสตรีดุร้ายคนหนึ่ง ช่างน่าขันนัก”
ซ่งหวานหว่านทางหนึ่งก็ใช้ปากเปล่งวาจา ทางหนึ่งก็หลบหมัดของรัชทายาท จากนั้นยังไม่ลืมแฉลบกายไปด้านหลังเขา แล้วถีบไปที่ก้นเขาเต็มแรง
รัชทายาทหน้าคะมำลงกับพื้น ซ่งหวานหว่านไม่มีทางปล่อยเขาไปง่ายดายเช่นนี้ นางเดินขึ้นหน้ามาแล้วเตะต่อยเขาไม่หยุด
นางถอนกำลังภายใน ควบคุมวิถีกำลัง พยายามไม่ทิ้งร่องรอยไว้บนตัวรัชทายาท แต่จุดที่นางลงมือล้วนเป็นจุดตายแทบทั้งสิ้น เจ็บจนทานทนไม่ไหว ซ้ำยังมองว่าไม่เกิดปัญหาอีกด้วย
หมัดเท้าที่ประเคนลงมาหนนี้ ทำให้รัชทายาทหวาดกลัวอย่างแท้จริง
ซ่งหวานหว่านค่อยๆ เก็บมือกลับมา นางเป็นคนมีขอบเขต หากตีรัชทายาทผู้นี้จนย่ำแย่ขึ้นมาจริง นางจะไปชี้แจงกับบิดาเขาได้อย่างไร
หลังสู้เสร็จ นางหันกายกลับมา เห็นเพียงตรงจุดที่ไม่ไกลนัก สาวใช้ทั้งสองตกใจจนสามารถยัดไข่ไก่เข้าไปในปากได้เลย
“นายหญิงของเรา ใช่เก่งกล้าเกินไปหน่อยหรือไม่?” เฉาเย่ากล่าวอย่างงงงวย
“ติดตามนายหญิงมาตั้งหลายปี ข้าไม่เคยคิดเลยว่าในกระดูกของนางยังมีด้านที่ป่าเถื่อนเช่นนี้อยู่ด้วย…”
“ยืนงงอะไรกัน คนไปกันหมดแล้ว” ซ่งหวานหว่านเรียกสติสาวใช้ทั้งสอง “ของพวกเราค่อยมาซื้อใหม่คราวหลัง กลับกันก่อนแล้วกัน”
“อ้อ มาแล้ว...”
กระทั่งสาวใช้ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ก่อนจะกลืนน้ำลายพร้อมกัน
ครั้นเห็นว่าเจ้านายตนหมุนกายจากไปแล้ว พวกนางจึงรีบไล่ตามไป
“นายหญิง ท่านใจร้อนไปหน่อยหรือไม่เจ้าคะ นั่นน่ะ…เป็นถึงองค์รัชทายาทเชียวนะ…พวกเราจะไม่ถูกฝ่าบาทลงโทษตัดศีรษะเอาหรือ” เสี่ยวชิงด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
เฉาเย่าก็มองไปยังนางด้วยอาการสั่นเทาระคนหวาดกลัวอยู่หลายส่วน
ซ่งหวานหว่าน “...”
อุ้ย เล่นสนุกเกินไปหน่อย ทำสาวใช้ทั้งสองตกใจเสียแล้ว
“แค่ก วางใจเถิด ต่อให้รัชทายาทไปฟ้องฝ่าบาท ก็หยิบหลักฐานออกมาไม่ได้หรอก ข้าทุบตีโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้ เท่ากับคำนวณไว้แล้วว่าจะปิดปากเขาได้”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ สาวใช้ทั้งสองถึงค่อยถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สิ่งที่ตามมาคือความชื่นชมและเลื่อมใส
“นายหญิง ท่านช่างร้ายกาจยิ่งนักเจ้าค่ะ! คนมากมายขนาดนั้นถูกท่านสอยร่วงหมดเลย”
“จริงด้วยๆ นายหญิงช่างเหมือนจอมยุทธหญิงในนิยายเลยเจ้าค่ะ”
ซ่งหวานหว่านเลิกคิ้ว ดูเหมือนนางจะไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่นัก
ซ่งหวานหว่านยื่นมือไปประคองนาง เอ่ยขึ้นว่า “น้องสาวนี่หมายความว่าอย่างไร รีบลุกขึ้นเถอะ มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน หากช่วยได้ข้าย่อมช่วยเหลือแน่”
“ขอบคุณพี่สาว” หลังหลินชิงไต้ลุกขึ้น ก็สั่งให้บ่าวรับใช้ข้างกายถอยออกไป เหลือไว้เพียงสาวใช้ข้างกายนามว่าชุ่ยจู๋
ซ่งหวานหว่านเห็นเช่นนี้ ก็โบกมือให้คนข้างกายของตนเองถอยออกไปเช่นกัน
ยามนี้ ขณะหลินชิงไต้มองนางก็คุกเข่าลงกับพื้นอีกครั้ง ชุ่ยจู๋สาวใช้ของนางเองก็คุกเข่าลงมาด้วย ก่อนจะร้องไห้กล่าวว่า “หวางเฟยเพคะ ขอร้องท่านช่วยคุณหนูของข้าด้วย!”
ครั้นมองคนสมัยโบราณที่เอะอะก็ชอบคุกเข่าโขกศีรษะเหล่านี้ ซ่งหวานหว่านก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา
นางกล่าวว่า “ลุกขึ้นมาก่อน มีเรื่องอะไรก็พูดมาตามตรง”
หลังหลินชิงไต้ลุกขึ้นมา กลับไม่ได้เปิดปากในทันที แต่ใช้นิ้มจุ่มลงไปในถ้วยน้ำชาแทน แล้วเขียนลงไปบนโต๊ะว่า “ขอพี่สาวโปรดช่วยพาข้าไปจากจวนจ้านอ๋องที”
ซ่งหวานหว่านรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
จากที่รู้มาอนุเหล่านี้ของเรือนหลังจวนอ๋อง ล้วนเป็นคนที่ฝ่าบาทประทานให้จ้านอ๋องทั้งสิ้น เหตุผลก็เพื่อให้พวกนางคอยรวบรวมข้อมูลข่าวสารหรือคอยล่อลวงจ้านอ๋องให้หลงใหล
ผู้ที่มาพร้อมภารกิจ กลับคิดจะจากไป เรื่องนี้ทำให้ซ่งหวานหว่านไม่เข้าใจ
“เพราะเหตุใด” นางถาม
หลินชิงไต้ตาแดงเรื่อ ถึงค่อยเปิดปากว่า “พี่สาว กล่าวตามตรงไม่ขอปิดบัง การเข้าจวนอ๋องไม่ใช่ความประสงค์ของข้า”
นางค่อยๆ เล่าอดีตของตนเองออกมา ซ่งหวานหว่านถึงค่อยรู้ว่าก่อนที่หลินชิงไต้จะเข้ามาอยู่ในจวนจ้านอ๋อง นางก็มีชายในดวงใจแล้ว อีกฝ่ายก็คือคุณชายหานฉีของตระกูลเสนาบดีแห่งหอไท่ฉัง
พวกเขาสองคนรักกันหวานชื่น ซ้ำฐานะชาติตระกูลยังเท่าเทียมกัน เรียกว่าเป็นคู่สร้างคู่สมเลยก็ว่าได้
แต่ราชโองการพระราชทานสมรสของฝ่าบาทฉบับเดียว ราวกับเป็นไม้กระบองตียวนยาง แยกพวกเขาทั้งคู่ออกจากกัน
แต่คำสั่งฮ่องเต้นั้นฝืนลำบาก เพื่อความปลอดภัยของคนในครอบครัว คนทั้งสองไม่อาจไม่ผ่อนปรนได้ หลังหลินชิงไต้เข้ามาอยู่ในจวนจ้านอ๋อง หานฉีก็ล้มป่วยรักษาไม่หาย อาการไม่สู้ดีนัก
พอหลินชิงไต้รู้ข่าวใจก็ร้อนดั่งไฟลน เห็นซ่งหวานหว่านส่งซูมู่เสวี่ยออกไปจากจวนอ๋องอย่างง่ายดาย นางก็อิจฉาเหลือคณานับ ดังนั้นตอนนี้จึงมาขอร้องตรงหน้าซ่งหวานหว่าน
ครั้งนี้นางเองก็กำลังเดิมพันอยู่เช่นกัน เพื่อความสุขของตนเองและหานฉี นางจะลองสู้ดูสักตั้ง ดูว่าซ่งหวานหว่านจะยอมช่วยนางหรือไม่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต
ไม่ต่อแล้วหรอออ...
5555555555...
ต่อไหมค่ะ...
สนุกมากกกค่ะ...