หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต นิยาย บท 17

หลังฟังคำพูดของนางจบ ซ่งหวานหว่านก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้

“ข้าก็นึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก เจ้าวางใจเถิด เรื่องขี้ประติ๋วนี่ข้าจะคิดหาวิธีช่วยเจ้าเอง แต่เจ้าไม่อาจรีบร้อนได้ ข้าจำเป็นต้องหาจังหวะเวลาดีๆ เพื่อแก้ไขเรื่องนี้ให้จบลงด้วยดีโดยไม่ทำให้ชื่อเสียงเจ้าเสียหาย”

“อีกอย่าง พรุ่งนี้ให้ชุ่ยจู๋ลอบออกไปพบคุณชายหานท่านนั้นสักหน่อย บอกเขาว่าข้าจะคิดหาวิธีช่วยเหลือพวกเจ้าเอง ให้เขาพักฟื้นร่างกายรอเจ้าให้ดี”

หลังนางกล่าวจบ หลินชิงไต้และชุ่ยจู๋ต่างก็ทั้งตกใจและดีใจ

“ขอบคุณพี่สาวมากเจ้าค่ะ! บุญคุณอันยิ่งใหญ่ของพี่สาว น้องจะจดจำเอาไว้ในใจอย่างแน่นอน ภายหน้าหากพี่สาวต้องการสิ่งใด น้องสาวจะต้องช่วยท่านบุกน้ำลุยไฟ ถึงตายหมื่นครั้งก็ไม่เลิกรา!” หลินชิงไต้กล่าวด้วยดวงตาแดงเรื่อ

ชุ่ยจู๋เองก็คุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นไม่หยุดเช่นกัน พลางร้องไห้กล่าวว่า “ขอบพระทัยหวางเฟย บ่าวโขกศีรษะให้ท่านแล้ว!”

ซ่งหวานหว่านรู้สึกจนปัญญาอีกครั้ง

นางรู้สึกเบื่อกับประเพณีคุกเข่าโขกศีรษะพวกนี้ของคนสมัยโบราณจริงๆ

ครั้นเกลี้ยกล่อมคนให้ลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง นางก็พรูลมหายใจออกมาเบาๆ

อันที่จริงนางวางแผนจะส่งนกนางแอ่นนกขมิ้นกลุ่มนี้ออกไปจากจวนอ๋องอยู่แล้ว ตอนนี้หลินชิงไต้ยินดีจะจากไปเอง นางจะไม่ช่วยได้อย่างไร

เพียงแต่ต้องรักษาชื่อเสียงของหลินชิงไต้เอาไว้ การจะช่วยยวนยางบอบช้ำคู่นี้ให้สมหวัง ยังต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจสักเล็กน้อยถึงจะสำเร็จ

ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน

ซ่งหวานหว่านวางเรื่องนี้ลงก่อน พลางมองไปที่หลินชิงไต้แล้วกล่าวว่า “น้องสาวเสี่ยวไต้ เจ้ารู้หรือไม่ ตอนนี้ร่างกายเจ้ามีปัญหาแล้ว”

“หา? ร่างกายของข้า?” หลินชิงไต้เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “พี่สาว ข้ารู้สึกสบายดีเจ้าค่ะ”

“เจ้ามักจะรู้สึกอึดอัดใจ อารมณ์หดหู่ สิ้นหวังในชีวิตอยู่เสมอใช่หรือไม่  ถึงขั้นที่ว่ายามเป็นหนักจะรู้สึกแน่นหน้าอก ลมหายใจติดขัด หายใจไม่ทันใช่หรือไม่”

“นี่...จริงด้วย”

“เจ้ากำลังเป็นโรคซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด เป็นโรคทางใจ โรคทางใจต้องใช้ใจรักษา หัวใจสำคัญของโรคนี้ก็คือเจ้าต้องหัดผ่อนคลายจิตใจ ยามว่างก็ออกไปเดินเล่นรับแสงแดดบ้าง มันช่วยทำให้อารมณ์แจ่มใสมากขึ้น”

“ข้าจะเขียนใบสั่งยาไว้ให้เจ้าด้วย เจ้าจงกินยาตามเวลา รีบฟื้นฟูสภาพจิตใจของตัวเองให้กลับคืนมาดังเดิม ไม่ใชว่าพอออกจากจวนอ๋องเจ้าก็จะล้มป่วยแล้ว แล้วอย่างนี้อนาคตจะไปพบชายในดวงใจของเจ้าได้อย่างไร”

หลินชิงไต้ได้ยินก็หน้าแดงเขินอาย พยักหน้ากล่าวว่า “ขอบคุณพี่สาวเจ้าค่ะ”

ชุ่ยจู๋นำกระดาษและพู่กันออกมา ซ่งหวานหว่านรู้ว่าตัวหนังสือที่เขียนด้วยพู่กันของตนเองนั้นไม่น่ามอง จึงให้หลินชิงไต้เป็นคนมาเขียนเอง

นางท่องชื่อยาสมุนไพรออกมา “ฝูหลิงสามเฉียน สะระแหน่หนึ่งเฉียน ป๋ายจู๋สามเฉียน…”

หลังเขียนใบสั่งยา กำชับเรื่องที่ควรระวังเสร็จ ซ่งหวานหว่านถึงค่อยจากไป

ครั้นกลับมาถึงเรือนฮ่วนซี นางก็ไม่ได้ทานมื้อเย็นอีก ทว่าหลังอาบน้ำเสร็จกลับขึ้นเตียงบำเพ็ญฌานแทน

เวลาผ่านไปทุกนาที เพียงไม่นานก็ถึงยามดึกอย่างรวดเร็ว

ซ่งหวานหว่านบำเพ็ญฌานใกล้จะเสร็จแล้ว เพิ่งจะเอนกายลงเตรียมจะพักผ่อน จู่ๆ ที่ด้านนอกหน้าต่างก็มีเสียงก๊อกแก๊กดังขึ้นมาเบาๆ

นางกลั้นหายใจทันที ปล่อยม่านลงแสร้งทำเป็นว่าพักผ่อน ส่วนตัวเองกลับย่องไปยังข้างหน้าต่างอย่างแผ่วเบา ซ่อนตัวอยู่ในความมืด 

เพียงไม่นาน หน้าต่างก็ถูกเปิดออกเบาๆ เงาร่างสีดำสายหนึ่งกระโดดเข้ามาในห้อง รูปร่างปราดเปรียวว่องไว

คนที่มาค่อยๆ ย่องไปที่ข้างเตียง เปิดม่านออก เมื่อพบว่าบนเตียงว่างเปล่า ก็พลันตระหนกวาบ

“เขา” หมุนกายทันที ระแวดระวังมากกว่าเดิม แต่ก็สายไปเสียแล้ว

ซ่งหวานหว่านที่อยู่ในความมืดเดินออกมาด้วยความประหลาดใจ ในมือถือปืนยาชาที่ล้วงออกมาจากแหวนอวกาศ เล็งไปทางคนผู้นั้น

“หวาง……”

“เงาดำ” เพิ่งจะอ้าปาก ซ่งหวานหว่านก็ยิงออกไปแล้ว โดยยิงถูกที่แขนของอีกฝ่ายอย่างจัง ทำให้อีกฝ่ายหลบไม่ทัน

วินาทีถัดมา อีกฝ่ายก็ทรุดลงไปนั่งอยู่กับพื้นไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต