หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต นิยาย บท 21

“คิดตกแล้ว?” ขณะซ่งหวานหว่านมองนาง ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มบางเบา

“เจ้าค่ะ! จากนี้ไปข้าน้อยจะเชื่อฟังแต่คำสั่งหวางเฟย ไม่มีใจคิดเป็นอื่น” ฮวาอิ่งกล่าวอย่างจริงจัง

“อ้อ?” ซ่งหวานหว่านเลิกคิ้ว จงใจกล่าวว่า “แล้วหากข้าสั่งให้เจ้าไปโจมตีท่านอ๋องเล่า”

“ล้วนฟังคำสั่งของนายหญิง! ท่านจะให้ลงมือเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่”

“พรืด!” ซ่งหวานหว่านกลั้นขำไม่ไหวอีกต่อไป

สาวน้อยผู้นี้สนุกจริงๆ นางชักจะชอบขึ้นมานิดๆ แล้วสิ

“เอาล่ะ ลุกขึ้นมาเถิด จากนี้ไปก็คอยติดตามอยู่ข้างกายข้าแล้วกัน” ซ่งหวานหว่านยิ้มพร้อมกับประคองฮวาอิ่งให้ลุกขึ้น ก่อนจะหยิบขาไก่หนึ่งขามาจากบนโต๊ะ ยัดใส่มือของนาง “นี่คือของรางวัลที่มอบให้เจ้า”

ได้กลิ่นขาไก่ชิ้นโตน่าอร่อย ฮวาอิ่งก็ทั้งหิวและมีความสุข

การพบเจอกันสั้นๆ เพียงสองครั้ง ทำให้นางเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อหวางเฟยไปอย่างสิ้นเชิง หวางเฟยที่ร่ำลือกันว่าเข้ากับคนยากผู้นี้ แท้จริงแล้วเป็นคนสุภาพอ่อนโยน ทั้งยังมีความสามารถ ดูเข้าหาง่ายกว่าคุณหนูบ้านอื่นที่นางเคยพบเสียอีก

“นางฟ้าซ่งหวานหว่านของหนู ตอนนี้ท่านสวยเกินไปแล้วจริงๆ หนูเกือบจะถูกท่านล่อลวงเสียแล้ว” เสียงถังถังของวิเศษสุดที่รักดังขึ้นมาในหูของซ่งหวานหว่าน

ซ่งหวานหว่านใช้ความคิดตอบกลับไปว่า 'ทำไม? เจ้าใคร่ครวญดีแล้วว่าจะสร้างคฤหาสน์หลังใหญ่ให้ข้าดูแลแล้วใช่ไหม’

“ของมันแน่อยู่แล้ว อิอิ”

ซ่งหวานหว่านอดขำไม่ได้ ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเด็กนิสัยเสียนี่”

“เจ้านาย ตอนนี้ในช่องมิติมีอากาศเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว ขอเพียงท่านพยายามเพิ่มขนาดพื้นที่ว่างขึ้นอีกนิด พวกเราก็สามารถปลูกสมุนไพรไว้ในนั้นได้แล้ว”

“จริงหรือ” ซ่งหวานหว่านดีใจสุดแสน “ได้ ข้าจะขยันกว่านี้! รักเจ้านะจุ๊บๆๆ !”

“อิอิ หนูให้หอมทีหนึ่ง!” ถังถังยิ้มตาหยี กล่าวอีกว่า “เจ้านาย หลังช่องมิติเลื่อนระดับแล้ว ท่านจับสัตว์เลี้ยงเข้ามาให้หนูสักตัวได้ไหม อยากได้แบบตัวที่ขนปุกปุยนุ่มนิ่มๆ น่ะ”

“ได้ ไม่มีปัญหา”

หลังคุยกับถังถังเสร็จ ซ่งหวานหว่านก็หยิบขนมขบเคี้ยวออกมาจากช่องมิติไม่น้อยเลย นายบ่าวสี่คนจึงกินกันอย่างมีความสุข

หลังทานอาหารเสร็จ ซ่งหวานหว่านก็นำแพรโปร่งมาคลุมหน้าไว้ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังเรือนของหลินชิงไต้

“ร่างกายของเจ้าฟื้นตัวได้ไม่เลวแล้ว” ซ่งหวานหว่านจับชีพจรให้หลินชิงไต้ พลางกล่าวต่อ “อย่าลืมกินยาอย่างต่อเนื่อง คอยรักษาอารมณ์ให้มีความสุขอยู่เสมอ”

“เจ้าค่ะ ขอบคุณพี่สาว!” หลินชิงไต้กล่าวด้วยความซาบซึ้ง

หลังเก็บมือกลับไป ซ่งหวานหว่านก็เอ่ยว่า “เสี่ยวไต้ ในช่วงสองสามวันนี้หากเจ้าออกไปเดินเล่น ช่วยหาร้านค้าให้ข้าสักแห่ง ข้าเตรียมจะเปิดโรงหมอ ถึงเวลาเจ้าก็มาช่วยข้าในโรงหมอได้”

“แล้วก็ช่วยสอบถามให้ข้าหน่อยว่าในละแวกใกล้ๆ นี้มีบ้านที่เตรียมจะขายออกไปหรือไม่ ข้าอยากจะซื้อบ้านสักหลังให้ท่านแม่ข้า”

“ได้เจ้าค่ะพี่สาว ท่านวางใจ ช่วงบ่ายข้าจะออกไปดูให้” กล่าวจบ หลินชิงไต้ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างขออภัยอยู่ในที “พี่สาว ข้าสามารถไปเยี่ยมหานฉีได้หรือไม่เจ้าคะ”

“ไม่ได้” ซ่งหวานหว่านกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา การไม่อดทนเพียงเล็กน้อยจะทำให้การใหญ่เสียได้”

“...เจ้าค่ะ ข้าเชื่อฟังพี่สาว” นัยน์ตาหลินชิงไต้ทอแววผิดหวังวาบผ่าน

ซ่งหวานหว่านเห็นอยู่ในสายตา จึงถอนหายใจอย่างปวดใจแล้วกล่าวว่า “เสี่ยวไต้ ข้ารู้ว่าเจ้าทุกข์ใจ แต่สถานะของเจ้าที่คนนอกเห็นในตอนนี้ก็คือเจ้าเป็นอนุภรรยาของท่านอ๋อง ความสัมพันธ์ซับซ้อนเหล่านั้นระหว่างเจ้ากับหานฉีก่อนหน้านี้ ผู้มีจิตคิดประสงค์ร้ายล้วนทราบกันดี หากเวลานี้กุมจุดอ่อนใดๆ ของเจ้าไว้ได้อีก แล้วชื่อเสียงของเจ้าจะเปลี่ยนไปเช่นไร สำหรับยุคสมัยที่โหดร้ายต่อสตรีเช่นนี้ พวกเราต้องระวังให้มากจึงจะดี”

หลินชิงไต้เอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “พี่สาวกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เป็นน้องสาวที่ผิดเอง”

“เฮ้อ เอาล่ะ เจ้าอดทนอีกสักหน่อยนะ ข้าขอรับรองกับเจ้าว่าอีกไม่นานพวกเจ้าก็จะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือช่วยข้าหาโรงหมอทำเลดีสักแห่ง ถึงตอนนั้นเจ้าก็มาอยู่ช่วยข้าในโรงหมอ ทั้งเขายังเป็นคนป่วย เจ้ายังจะกลัวว่าไม่มีโอกาสได้พบหน้าเขาอีกหรือ”

ครั้นหลินชิงไต้ได้ยินก็เข้าใจเรื่องราวกระจ่าง สุขใจจนแทบทนไม่ไหว “พี่สาว ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะเชื่อฟังท่านทุกอย่าง”

ซ่งหวานหว่านส่ายหน้ายิ้มๆ เด็กโง่คนนี้นี่

หลังออกจากเรือนของหลินชิงไต้ ซ่งหวานหว่านก็มุ่งหน้าไปยังเรือนฝูหรง

"หว่านเอ๋อร์ เจ้ามาพอดี รีบไปเก็บข้าวของสักหน่อย ออกไปข้างนอกกับแม่สักเที่ยว” ยามนี้ มารดาเซี่ยซื่อกำลังเก็บข้าวของลงหีบสัมภาระอย่างรีบร้อน ครั้นเห็นเงาร่างของซ่งหวานหว่าน ก็รีบเอ่ยปากว่า “ท่านลุงของเจ้าเพิ่งส่งจดหมายมาหาแม่บอกว่าท่านตาเจ้ากำลังป่วยหนัก”

เมื่อซ่งหวานหว่านได้ยินเช่นนี้ ก็รีบกลับไปเรือนฮ่วนซีเพื่อเก็บสัมภาระอย่างเร่งด่วน

นางหยิบชุดง่ายๆ มาสองชุด พาฮวาอิ่งติดตามไปจวนสกุลเซี่ยพร้อมกับมารดา

ท่านตาของนางเคยดำรงตำแหน่งเป็นรองราชทูตแห่งสำนักถงเจิ้ง* เป็นขุนนางขั้นสี่ชั้นเอกของราชสำนัก เขาได้เกษียณอายุและกลับสู่บ้านเกิดเมื่อไม่กี่ปีก่อน ส่วนท่านลุงทั้งสอง คนหนึ่งทำการค้า อีกคนเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษา ไม่มีใครรับราชการ(สำนักถงเจิ้ง ในสมัยราชวงศ์ชิงทำหน้าที่ดูแลเอกสารการยื่นอุทธรณ์ จดหมายปิดผนึกของขุนนางและราษฎร รวมถึงหนังสือกราบทูลฮ่องเต้)

ยามซ่งหวานหว่านมาถึงจวนสกุลเซี่ยพร้อมกับมารดา ท่านตายังคงนอนไม่ได้สติ ครอบครัวฝ่ายท่านตาต่างร้อนใจจนวิ่งวุ่นเป็นพัลวัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต