วันต่อมา ซ่งหวานหว่านลุกขึ้นมาแต่งหน้าแต่งตัวตั้งแต่เช้าตรู่
นางหยิบเอาเครื่องสำอางระดับไฮเอนด์ออกมาจากแหวนอวกาศ ใช้เวลาขีดๆ เขียนๆ อยู่ครึ่งชั่วโมง การแต่งหน้าอ่อนๆ ที่ดูสดใสมีรสนิยมก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย การแต่งหน้าในยุคปัจจุบันจะต่างออกไป ไม่ได้ใช้ชาดกับแป้งน้ำเหมือนสมัยโบราณ ซึ่งพอแต่งออกมาแล้วจะดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก
โดยเฉพาะลิปกลอส เมื่อทาไปบนริมฝีปากจะดูเหมือนเจลลี่ ชุ่มฉ่ำแวววาว ชวนให้ผู้คนอยากจุมพิตดูสักครั้ง
“นายหญิง พ่อบ้านมาเจ้าค่ะ บอกว่าท่านอ๋องรอเสวยสำรับเช้าพร้อมกับท่านอยู่ที่โถงส่วนหน้า” เสียงของเสี่ยวชิงดังมาจากในลานเรือน
“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
ซ่งหวานหว่านเก็บเครื่องสำอางเข้าไปในแหวนอวกาศ แล้วหยิบเครื่องสำอางยี่ห้อลังโคมชุดใหม่เอี่ยมออกมาใส่ในห่อสัมภาระแทน จากนั้นค่อยเดินไปยังโถงส่วนหน้าอย่างลิงโลด
วันนี้ซ่งหวานหว่านไม่ได้สวมผ้าคลุมหน้า ทำให้บรรดาบ่าวรับใช้แต่ละคนตกตะลึงจนตาค้าง ในใจต่างลอบคิดว่า นี่เทพธิดาองค์ใดมาจุติยังโลกมนุษย์กัน? พวกเขาต่างยังไม่เคยเห็นซ่งหวานหว่านในลักษณะที่ใบหน้าหายเป็นปกติแล้ว
ครั้นซ่งหวานหว่านมาถึงโถงหลัก เจียงอู๋วั่งก็มานั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารก่อนแล้ว พอเห็นซ่งหวานหว่าน ลูกตาดำเขาหดรัด ชะงักค้างไปสามวิ ก่อนจะปรับสีหน้าใหม่เป็นเย็นชาอย่างรวดเร็ว
“ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ” ซ่งหวานหว่านไม่ลืมคารวะตามพิธีการ
“ตามสบาย ทานข้าวเถิด ทานเสร็จแล้วค่อยไป”
“เพคะ”
ซ่งหวานหว่านหย่อนก้นนั่งลงตรงข้ามเจียงอู๋วั่งโดยไม่ลังเล ยกชามขึ้นมาได้ก็เริ่มซดโจ๊กเข้าไปอึกใหญ่ ไม่เหลือมาดที่กุลสตรีตระกูลใหญ่พึงมีเลยแม้แต่น้อย
เจียงอู๋วั่งกลับไม่ถือสา ใช้มือหนาที่เห็นข้อกระดูกชัดเจนยกตะเกียบแล้วคีบซาลาเปาขึ้นมากินด้วยท่วงท่าสง่างาม วิธีการกินของคนทั้งสองแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
หลังทานอาหารเช้าเสร็จ ทั้งสองก็นั่งไปบนรถม้าหรูหราคันนั้น การไปในครั้งนี้ไม่ได้พาสาวใช้และบ่าวชายไปด้วย เจียงเทาทำหน้าที่เป็นสารถี ฮวาอิ่งนั่งอยู่ข้างเจียงเทา และยังมีองครักษ์อีกสี่คนคอยลอบคุ้มกันอย่างลับๆ
รถม้าแล่นออกจากเมืองหลวงไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
ทว่า ยังไม่ทันได้ออกไปไหนไกล หูของซ่งหวานหว่านก็ขยับ ก่อนจะกล่าวขึ้นเสียงเบา “ท่านอ๋อง มีหางโผล่มา”
“อืม ข้ารู้นานแล้ว คงจะหาโอกาสกำจัดข้า”
“ได้” ซ่งหวานหว่านผงกศีรษะ
เจียงอู๋วั่งตะโกนเรียก “ฮวาอิ่ง”
“ท่านอ๋องทรงมีสิ่งใดจะรับสั่งเพคะ” ฮวาอิ่งแง้มม่านรถเปิดออก ชะโงกศีรษะถาม
เจียงอู๋วั่งออกคำสั่งเสียงเบา “ให้เจียงเทาบังคับรถหาสถานที่เหมาะๆ แล้วกำจัดหางที่อยู่ด้านหลังเสีย”
“เพคะ”
ใช้เวลาไม่นานนัก เจียงเทาก็ขับรถม้าไปยังสถานที่ว่างโล่งแห่งหนึ่ง
รถม้าเพิ่งจะหยุดลง ก็ได้ยืนเสียงเข้มลึกดังขึ้นเสียงหนึ่ง
“ลงมือ”
เพิ่งจะสิ้นเสียง นักฆ่าชุดดำสวมหน้ากากสิบกว่าก็ทะยานมาล้อมรถม้าไว้ทั้งสี่ด้าน
เจียงเทาและฮวาอิ่งเหินตัวขึ้นกลางอากาศ ชักกระบี่ออกมาประจันหน้า พร้อมกับองครักษ์เงาทั้งสี่ที่ลอบคุ้มกันอยู่ก็ปรากฏกายออกมาเช่นกัน
ซ่งหวานหว่านเลิกผ้าม่านรถคิดจะออกไปช่วย แต่เจียงอู๋วั่งยื่นมือมาขวางนางไว้ “รอดูสถานการณ์ก่อน ค่อยลงมือก็ยังไม่สาย”
ซ่งหวานหว่านได้แต่กลับไปนั่งที่เดิม ส่วนมือขวาคอยเลิกม่านรถสังเกตดูสถานการณ์ด้านนอกอย่างละเอียด
เจียงอู๋วั่งเอ่ยขึ้นว่า “เป็นนักฆ่าวิญญาณโลหิต เก็บไว้เป็นพยานสองคน เค้นถามว่าใครเป็นผู้บงการ”
“ง่ายจะตาย คอยดูข้านะ” ซ่งหวานหว่านระบายยิ้ม พลางสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ
นางใช้ความคิดหยิบปืนยาสลบออกมาจากช่องมิติ เล็งไปที่นักฆ่าชุดดำคนหนึ่งที่กำลังประมือกับฮวาอิ่ง แล้วยิงออกไปเสียงดัง ‘ปัง’
นักฆ่าชุดดำได้ยินเสียงขึ้นข้างหลัง จึงคิดจะหลบเลี่ยงตามสัญชาตญาณ ฮวาอิ่งกลับไม่ปล่อยให้เขาทำสำเร็จ ฮวาอิ่งเคยประสบกับความทุกข์จากการโดนปืนยาสลบยิงมาก่อน ย่อมรู้ว่าเจ้านายตนลงมือแล้ว
นักฆ่าชุดดำถูกยิงเข้าที่แผ่นหลัง รู้สึกเจ็บแปลบเพียงเล็กน้อย จากนั้นความเจ็บก็หายไป ร่างกายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นชาหนึบไม่ยอมฟังคำสั่ง ก่อนร่างจะทรุดตัวลงกับพื้นเสียงดัง ‘ตึง’ ขยับตัวไม่ได้อีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต
ไม่ต่อแล้วหรอออ...
5555555555...
ต่อไหมค่ะ...
สนุกมากกกค่ะ...