ซ่งหวานหว่านอุ้มเสี่ยวเถาจื่อขึ้นรถม้า จากนั้นตนเองก็กระโดดตามขึ้นไป ก่อนจะเดินทางมุ่งหน้าต่อไปยังเขาอู่ไถ
ยามโหย่ว(17:00-19:00) รถม้าก็มาถึงตำบลเหรินไหวที่ใต้เชิงเขาอู่ไถ
เจียงอู๋วั่งเลิกม่านรถออกดูแวบหนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เจียงเทา พักแรมที่นี่สักคืน พรุ่งนี้เช้าค่อยขึ้นเขา”
“ขอรับ”
เจียงเทาส่งเสียงรับคำ จากนั้นก็ขับรถม้าไปจอดหน้าโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่งชื่อว่าจี๋เสียงจ้าน
สตรีวัยกำดัดอายุราวๆ ยี่สิบห้ายี่สิบหกปีคนหนึ่งยืนอยู่ในโต๊ะรับรองของโรงเตี๊ยม ครั้นเห็นว่าหน้าประตูมีคนมา ก็รีบเข้ามาต้อนรับทันที “นายท่านทั้งหลาย ต้องการรับอาหารหรือห้องพักเจ้าคะ”
“ห้องพัก นำอาหารบางส่วนขึ้นมาให้พวกเราก่อน” เจียงอู๋วั่งตอบ
“ได้เจ้าค่ะ ท่านทั้งหลายเชิญด้านใน” หญิงสาวทำท่าผายมือเชื้อเชิญ
“หลงจู๊ มีคนมาเจ้าค่ะ” หญิงสาวตะโกนสุดเสียงเข้าไปในห้อง ก่อนจะพาคนมานั่งที่โต๊ะ ถามไปพลางรินชาไปพลาง “พวกท่านอยากทานอะไรเจ้าคะ”
เจียงอู๋วั่งสั่งอาหารขึ้นชื่อของร้านมาหลายอย่าง จากนั้นหญิงสาวก็ไปยุ่งง่วนอยู่ที่หลังครัว
หลังทานอาหารเสร็จ เจียงอู๋วั่งก็ขอเปิดห้องพักสองห้อง ซ่งหวานหว่านพาเสี่ยวเถาจื่อไปพักห้องหนึ่ง
หลังซ่งหวานหว่านรอให้เสี่ยวเถาจื่อหลับไป นางก็นั่งขัดสมาธิบนเตียงเพื่อบำเพ็ญฌานฝึกฝนแก่นพลังภายใน
ฝึกไปได้หนึ่งชั่วยาม ก็รู้สึกว่าใกล้จะทะลวงขั้นพลังได้แล้ว ซ่งหวานหว่านจำต้องข่มความใจร้อนที่อยากจะทะลวงขั้นพลังขุมนั้นเอาไว้ก่อน ไม่บำเพ็ญฌานต่อ แล้วนอนลงข้างเสี่ยวเถาจื่อแล้วหลับไป เพราะเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการทะลวงขั้นพลัง
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากล้างหน้าล้างตาและทานอาหารเช้าเสร็จ พวกเขาก็เดินทางขึ้นเขาอู่ไถ
รถม้าจอดลงตรงหน้าประตูวัดจี๋ฝู เจียงเทายกรถเข็นลงมา จากนั้น เจียงอู๋วั่งก็กระโดดเบาๆ นั่งไปบนรถเข็น
ซ่งหวานหว่านกระโดดลงจากรถม้า พร้อมอุ้มเสี่ยวเถาจื่อลงมา ส่วนเจียงเทาเข็นรถเข็นเดินขึ้นหน้าไปเคาะประตู โดยมีซ่งหวานหว่านจูงเสี่ยวเถาจื่อเดินตามอยู่ข้างหลัง
แม่ชีวัยกลางคนนางหนึ่งเปิดประตูออกมา ครั้นมองปราดหนึ่งเห็นเจียงอู๋วั่งที่นั่งอยู่บนรถเข็น ก็รีบคุกเข่าคารวะเต็มพิธีการอย่างรวดเร็ว “ถวายบังคมท่านอ๋องจ้าน”
“ตามสบาย หมู่นี้เสด็จแม่สบายดีหรือไม่”
“ทูลท่านอ๋อง พระนางไท่เฟยทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงดีเพคะ ทุกอย่างเรียบร้อยดี เวลานี้ทรงกำลังสวดขอพรให้ท่านอ๋องอยู่ในพระวิหาร”
“เป็นเช่นนี้ดียิ่ง ช่วยนำทางข้าไปพระวิหารที”
“ท่านอ๋องเชิญ”
แม่ชีวัยกลางคนทำท่าผายมือเชื้อเชิญ พร้อมนำทางทุกคนไปยังพระวิหาร
บนเบาะกลมตรงกลางพระวิหาร ไท่เฟยกำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพระโพธิสัตว์ สองมือยกขึ้นพนมไหว้อธิษฐานขอพร
เจียงอู๋วั่งไม่ได้เดินเข้าไปรบกวน แต่รอคอยอยู่อีกด้านอย่างเงียบๆ
หลังผ่านไปสักครู่ ไท่เฟยก็ขอพรเสร็จสิ้น แม่ชีสองนางประคองนางลุกขึ้น พอหันหน้ามาเห็นเจียงอู๋วั่ง บนใบหน้าก็เผยแววประหลาดใจออกมา
“ลูกถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ถวายบังคมพระนางไท่เฟย” เจียงเทาและฮวาอิ่งคุกเข่าถวายพระพรพร้อมกัน
“อู๋วั่ง เจ้ามาได้อย่างไร”
“เสด็จแม่ ลูกมารับท่านกลับเมืองหลวง”
ซ่งหวานหว่านมองไท่เฟยที่อยู่ตรงหน้าอย่างใจลอย นี่สวยแล้วยังดูอ่อนเยาว์เกินไปหรือไม่ มองแวบเดียวยังนึกว่าอายุประมาณสามสิบเสียอีก
พระนางไท่เฟยมีแซ่คู่ว่าน่าหลัน เป็นองค์หญิง แคว้นพ่ายศึกที่ส่งมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเป่ยหมิง ดวงตาของนางเป็นสิ่งที่พิเศษยิ่ง มีความเข้มลึกที่เป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าต่างถิ่น
“คนที่น่าสับเป็นชิ้นๆ ผู้นี้ ไม่คิดเลยว่าจะกล้าทำกับลูกสะใภ้ของเราเช่นนี้ เขาเบื่อชีวิตแล้วใช่หรือไม่”
ซ่งหวานหว่านรีบกล่าวปลอบน่าหลันไท่เฟย “เสด็จแม่ ทรงพระทัยเย็นก่อนเพคะ ต่อให้เขาไม่ต้องการเลือดชามนั้น สะใภ้ก็ต้องการหลั่งเลือดอยู่ดี มีเพียงใช้เลือดพิษมาแก้พิษจึงจะทำได้ง่ายดายหน่อย มิหนำซ้ำยังเอาเลือดพิษเหล่านั้นมาแลกกับอิสรภาพของมารดากับตั๋วเงินสามแสนตำลึงได้อีกด้วย”
“อย่างนี้เอง! เช่นนั้นก็ยังดี เพียงแต่เราได้ยินแล้วก็ปวดใจ รอกลับเมืองหลวงแล้ว คอยดูว่าเราจะจัดการพวกเขาอย่างไร”
“เสด็จแม่ รอข้ารักษาขาของท่านอ๋องหายดีแล้ว ค่อยจัดการพวกเขาเพคะ”
“เจ้ารักษาขาของอู๋วั่งได้หรือ” น่าหลันไท่เฟยถามอย่างตื่นเต้น
“ได้เพคะ เสด็จแม่โปรดวางพระทัย รอท่านอ๋องหาตัวยาครบแล้ว ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้”
“สวรรค์เบื้องบนคุ้มครองโดยแท้ เราหวังอยู่เสมอให้อู๋วั่งลุกขึ้นมาเดินเหินได้ตามปกติ เราได้ยินว่าเจ้าเป็นคนที่ฝ่าบาทจงใจประทานให้อู๋วั่งเพื่อสร้างความอับอายให้เขา คิดไม่ถึงว่าเขากลับประทานหวางเฟยที่ดีขนาดนี้ให้อู๋วั่ง ซ้ำยังเก่งกาจและงดงามอีกด้วย ฮ่องเต้ผู้นั้นไม่เพียงไม่สามารถสร้างความอับอายให้อู๋วั่งได้ ยังส่งดาวนำโชคมาให้อู๋วั่งอีก ฮ่าๆ ช่างทำให้เรามีความสุขจริงๆ”
ซ่งหวานหว่านถูกชมจนเขินอายเล็กน้อย พลางเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าแดงเรื่อ “เอาล่ะ เสด็จแม่เพคะ พวกเราไม่คุยเรื่องนี้กันแล้ว ท่านเล่าให้สะใภ้ฟังหน่อยว่าท่านดูแลตัวเองอย่างไร ถึงได้ดูอ่อนเยาว์และงดงามเช่นนี้ ทั้งผิวพรรณก็ดีมากด้วย ตอนที่เพิ่งพบท่านข้ายังนึกว่าท่านเป็นพี่สาวของท่านอ๋องเสียอีก”
มีใครจะไม่ชอบรับคำชื่นชมเล่า ซ่งหวานหว่านพูดจนน่าหลันไท่เฟยเบิกบานไม่หยุด
ซ่งหวานหว่านหยิบชุดเครื่องสำอางลังโคมออกมาจากห่อสัมภาระ ก่อนใช้สองมือประคองส่งให้น่าหลันไท่เฟยอย่างนอบน้อมพร้อมกับพูดว่า “เสด็จแม่ นี่เป็นของขวัญพบหน้าที่สะใภ้เตรียมมาให้ท่าน เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ หวังว่าเสด็จแม่จะไม่ทรงถือสา เสด็จแม่โปรดทรงรับไว้ด้วยเพคะ”
“นี่คืออะไรหรือ” น่าหลันไท่เฟยถามพลางรับชุดลังโคมที่ห่อมาอย่างสวยงามไว้
“เสด็จแม่ นี่คือชุดเครื่องประทินโฉมเพคะ ถ้าอย่างนั้นเสด็จแม่ท่านทรงล้างหน้าแล้วลองแต่งดูเป็นอย่างไร”
“เรากำลังสนใจสิ่งนี้ ดูหีบห่อนี้สิช่างงดงามวิจิตรโดยแท้ เราไม่เคยเห็นหีบห่อที่เป็นของดีเช่นนี้มาก่อนเลย”
“ใครก็ได้ ยกอ่างล้างหน้ามาให้เราที”
“เพคะ พระนางไท่เฟย” สาวใช้ข้างกายน่าหลันไท่เฟยขานรับพร้อมกับไปยกอ่างล้างหน้ามา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต
ไม่ต่อแล้วหรอออ...
5555555555...
ต่อไหมค่ะ...
สนุกมากกกค่ะ...