หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต นิยาย บท 29

หลังสาวใช้ยกน้ำเข้ามา ซ่งหวานหว่านก็ปรนนิบัติน่าหลันไท่เฟยล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าด้วยตนเอง

เมื่อล้างหน้าเสร็จ ก็เกลี่ยด้วยโทนเนอร์ น่าหลันไท่เฟยอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ “หว่านเอ๋อร์ นี่เรียกว่าน้ำอะไรกัน พอทาลงไปแล้วรู้สึกสดชื่นเบาสบายยิ่งนัก”

“เสด็จแม่ นี่เรียกว่าโทนเนอร์เพคะ มันช่วยทำให้ผิวหน้าและรูขุมขนกลับมาสะอาดอีกครั้ง จากนั้นต้องลงเซรั่มและทาด้วยครีมต่อ พอทาเสร็จท่านก็จะรู้สึกว่าผิวดูชุ่มชื้นขึ้น”

“จริงหรือ อย่างนั้นเจ้ารีบทาให้แม่เร็ว”

ซ่งหวานหว่านเปิดขวดเซรั่มแล้วเกลี่ยจนทั่วใบหน้า จากนั้นค่อยเปิดครีมทาผิวทาไปบนใบหน้าของน่าหลันไท่เฟย

น่าหลันไท่เฟยลูบไปบนผิวหน้า รู้สึกชุ่มชื้นขึ้นไม่น้อยจริงๆ เมื่อทาแล้วรู้สึกสบายหน้าเป็นพิเศษ นางหยิบขวดเล็กๆ เหล่านั้นขึ้นมาพลิกดูไปมา พลางถามอย่างประหลาดใจว่า “หว่านเอ๋อร์ ขวดเหล่านี้ทำมาจากวัสดุอะไรกัน แลดูประณีตยิ่งนัก เจ้าไปเอามาจากไหน เหตุใดถึงไม่เคยเห็นมาก่อน”

“เสด็จแม่ สิ่งนี้ทำมาจากแก้วเพคะ เป็นคนประหลาดชาวโปซือที่ท่องเที่ยวไปทั่วมอบให้สะใภ้ สะใภ้ไม่ได้ใช้ วันนี้เลยตั้งใจนำมาแสดงความกตัญญูต่อเสด็จแม่”

“หว่านเอ๋อร์ เจ้ามีน้ำใจ แม่ชอบมาก” 

“เสด็จแม่ ให้สะใภ้แต่งหน้าให้ท่านเถิด”

“ได้ๆ!”

ซ่งหวานหว่านหยิบพวกแป้งพัฟ อายแชโดว์ และอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับแต่งหน้าออกมาบางส่วน ปล้วลงมือแต่งหน้าให้น่าหลันไท่เฟยอย่างระมัดระวัง

เพียงไม่นาน การแต่งหน้าที่ดูเป็นธรรมชาติและสดใสก็เสร็จสิ้น น่าหลันไท่เฟยหยิบกระจกมาส่องดูคราหนึ่ง พลางแย้มยิ้มอย่างดีใจ “หว่านเอ๋อร์ นี่คือเราหรือ”

“แน่นอนว่าเป็นเสด็จแม่เพคะ เครื่องสำอางเหล่านี้ล้วนเป็นของที่คนประหลาดชาวโปซือผู้นั้นมอบให้ คิดอยากจะซื้อก็ซื้อไม่ได้ ของเหล่านี้มอบให้เสด็จแม่ทั้งหมดเลยเพคะ”

น่าหลันไท่เฟยดึงปิ่นไหวทองรูปหงส์ออกมาจากศีรษะ แล้วปักไปบนศีรษะของซ่งหวานหว่านอย่างมีความสุข ทั้งยังถอดกำไลหยกเขียวที่สวมอยู่บนมือออกมาสวมลงบนข้อมือของซ่งหวานหว่านอีกทอด “นี่คือของขวัญการพบหน้าที่เรามอบให้เจ้า ต่อไปหากอู๋วั่งรังแกเจ้า เจ้าจงมาบอกกับเรา เราจะจัดการเขาแทนเจ้าเอง” 

“ขอบพระทัยเสด็จแม่เพคะ” ในใจซ่งหวานหว่านเต็มตื้น เครื่องสำอางชุดเดียวก็แลกปิ่นไหวทองรูปหงส์กับกำไหลหยกเขียวมาได้อย่างละชิ้น ช่างคุ้มค่านัก

สิ่งสำคัญที่สุดคือแม่สามีคนนี้ยอมรับนางได้อย่างง่ายดาย ไม่เหมือนแม่สามีใจร้ายอย่างที่จินตนาการเลยสักนิด อดลอบบ่นกับตนเองในใจไม่ได้ว่า ‘คลิปพวกนั้นทำร้ายคนไม่น้อยเลย ทำเอาข้าเป็นกังวลอยู่ตั้งนาน’

แม่ผัวลูกสะใภ้สองคนคุยกันถูกคอเป็นอย่างมาก น่าหลันไท่เฟยมีรอยยิ้มน้อยๆ แต้มอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา  มองซ่งหวานหว่านอย่างรักใคร่

จนกระทั่งเจียงอู๋วั่งส่งเสียง “เสด็จแม่ ควรเสวยสำรับเที่ยงได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” 

“เจ้าจะรีบร้อนทำไมกัน ไม่เห็นหรือว่าข้ากับหว่านเอ๋อร์กำลังคุยกันอยู่ ทานช้าประเดี๋ยวเดียวไม่หิวตายหรอก”

ซ่งหวานหว่านมองเจียงอู๋วั่งที่หน้าเสีย นางเกือบหลุดหัวเราะออกมา เจียงอู๋วั่งเลยถลึงตาใส่นางอย่างดุร้ายไปทีหนึ่ง นางตกใจจนคอหด ไม่กล้าหัวเราะอีก

ดวงตารูปผลซิ่งของน่าหลันไท่เฟยจ้องเขม็ง พลางกล่าวสั่งสอนว่า “เจ้าเด็กหน้าเหม็น เจ้าถลึงตาทำไม เรายังอยู่ตรงนี้เจ้าก็กล้ารังแกสะใภ้เราแล้ว หากเราไม่อยู่ เจ้าไม่ต้องตีนางหรือไร”

“ลูกมิกล้า” แม้เจียงอู๋วั่งจะมีบุคลิกเย็นชา แต่เมื่อเสด็จแม่ของตนอบรมสั่งสอน เขากลับเชื่อฟังไม่เคยเถียงน่าหลันไท่เฟยเลยสักครั้ง

“หึ! เราเชื่อว่าเจ้าไม่กล้าหรอก!”

ซ่งหวานหว่านพยายามกลั้นขำอย่างสุดความสามารถ เอ่ยปากกู้หน้าให้เจียงอู๋วั่ง “เสด็จแม่ เสด็จไปเสวยมื้อเที่ยงเถิดเพคะ หว่านเอ๋อร์หิวแล้ว”

“หว่านเอ๋อร์ เจ้าหิวแล้วหรือ ทั้งหมดต้องโทษแม่คุยกันจนลืมเวลาเลย”

“ยังไม่ไปสั่งให้คนยกสำรับมาอีก เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าลูกสะใภ้ข้าหิวแล้ว” น่าหลันไท่เฟยกล่าวพร้อมกับกลอกตาใส่เจียงอู๋วั่ง

ซ่งหวานหว่านประทับภาพเช่นนี้ไว้ในหัวสมองโดยอัตโนมัติ

เจียงอู๋วั่งคิดในใจ ‘ตกลงข้าใช่ลูกแท้ๆ ของท่านหรือไม่ ไฉนพอมีลูกสะใภ้ก็ไม่ต้องการลูกชายแล้ว’

น่าหลันไท่เฟยคิดในใจ ‘ไม่ใช่ เจ้าเป็นของแถมที่ได้มาง่ายๆ ส่วนซ่งหวานหว่านต่างหากคือลูกสะใภ้แท้ๆ ของเรา’

เจียงอู๋วั่งอับจนวาจาเบือนหน้าไปกล่าวกับเจียงเทาว่า “ยกสำรับ เจ้าไม่ได้ยินเสด็จแม่ของเปิ่นหวังพูดหรือว่าลูกสะใภ้นางหิวแล้ว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต