หลังทานมื้อเช้าเสร็จ ทุกอย่างก็เตรียมพร้อมเสร็จแล้วเจียงเทานำรถม้าประจำพระองค์ของน่าหลันไท่เฟยมาจอดไว้พร้อมแล้วเช่นกัน ส่วนซ่งหวานหว่านเอาแต่ก้มหน้าตลอดเวลา หน้าแดงราวกับจะคั้นเลือดออกมาได้ นางยืนกรานว่าจะไม่ขึ้นรถม้าของเจียงอู๋วั่ง จึงพาเสี่ยวเถาจื่อไปนั่งรถม้าคันเดียวกับน่าหลันไท่เฟยแทน
รถม้าเดินทางมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง เที่ยงตรงก็มาถึงตำบลหยุนซี ไปจุดธูปไหว้หลุมศพท่านย่าของเสี่ยวเถาจื่อเสร็จ ก็มาทานมื้อเที่ยงที่หอฝูหม่าน ก่อนจะอำลาหลัวเหวินเสียงแล้วออกเดินทางต่อ
รถม้าเคลื่อนตัวออกมาไม่ห่างจากตำบลหยุนซีมากนัก ก็มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นอีกครั้ง
“นายท่าน ท่าทางผิดปกติขอรับ” เจียงเทากล่าวพร้อมกับหยุดลงม้าลง
“ฆ่าไม่เว้น!” เจียงอู๋วั่งเปล่งวาจาเรียบๆ ออกมาสามคำ
“ขอรับ ข้าน้อยรับบัญชา”
เจียงเทาและฮวาอิ่งชักกระบี่ยาวออกมา กระโดดไปตรงหน้ารถม้าเตรียมพร้อมรับมือ
ซ่งหวานหว่านก็สังเกตเห็นความผิดปกตินานแล้วเช่นกัน กลับไม่กล้าผลีผลามลงจากรถ ได้แต่เลิกม่านรถคอยสังเกตสถานการณ์ตรงหน้า นางต้องคุ้มครองน่าหลันไท่เฟยกับเสี่ยวเถาจื่อ
ทว่าร้อยกว่าเมตรตรงหน้า มีนักฆ่าชุดดำถือกระบี่ยาวกลุ่มใหญ่กำลังเดินเข้ามาใกล้รถม้ามากขึ้นเรื่อยๆ
น่าหลันไท่เฟยอย่างไรก็เป็นคนที่เคยผ่านเหตุการณ์ใหญ่มาก่อน สีหน้าจึงดูเรียบนิ่งไม่สะทกสะท้าน แต่เป็นเสี่ยวเถาจื่อที่ตกใจจนสีหน้าขาวซีด ร่างกายสั่นเทาแทน น่าหลันไท่เฟยกอดเสี่ยวเถาจื่อไว้ในอ้อมกอด พลางยื่นมือมาปิดตานางไว้
“ฆ่า! อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว!” พอหัวหน้านักฆ่าชุดดำออกคำสั่ง นักฆ่าชุดดำก็กรูกันเข้ามาทันที เจียงเทาและฮวาอิ่งยกกระบี่เข้าประจันหน้า เวลานี้องครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่ก็ปรากฏกายขึ้นแล้วเช่นกัน
นักฆ่าที่มาในครั้งนี้วรยุทธแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ลงมือโหดเหี้ยมรุนแรง ทั้งยังได้เปรียบเรื่องจำนวน พวกเจียงเทาเพียงไม่กี่คนจึงถูกฟันจนถอยร่นซ้ำแล้วซ้ำอีก
เจียงอู๋วั่งกำลังจะลงมือ ซ่งหวานหว่านจึงส่งเสียงห้ามเขาไว้ “ท่านอ๋อง ท่านมาคุ้มกันเสด็จแม่กับเสี่ยวเถาจื่อ มดปลวกพวกนี้มอบให้ข้าจัดการเอง”
เจียงอู๋วั่งได้ยินก็ชะงักไป มองซ่งหวานหว่านอย่างตกตะลึงเล็กน้อย นึกถึงคำที่นางเคยบอกไว้ ห้ามใช้กำลังภายในเคลื่อนไหวง่ายๆ หาไม่มันจะโจมตีใส่คนที่ใช้จนถึงแก่ชีวิต
ครั้นคิดมาถึงตรงนี้ เจียงอู๋วั่งก็เหินกายขึ้นมา ร่อนลงสู่รถม้าของน่าหลันไท่เฟยอย่างแผ่วเบา
ซ่งหวานหว่านกำลังคิดจะเหินกายไปช่วยพวกเจียงเทา เจียงอู๋วั่งเลยหยิบกระบี่อ่อนที่เหน็บอยู่ตรงบั้นเอวออกมายื่นให้ซ่งหวานหว่าน
ซ่งหวานหว่านรับกระบี่อ่อนไป ตัวกระบี่อ่อนนุ่มห้อยลงมาราวกับเส้นบะมี่ นางจึงส่งกำลังภายในเข้าไปในตัวกระบี่ ประเดี๋ยวเดียวกระบี่อ่อนก็ตั้งตรง เผยประกายอันเย็นยะเยือกออกมา
กระบี่ดี
ซ่งหวานหว่านสะกิดปลายเท้า เหินไปหานักฆ่าชุดดำที่ยืนหันหลังให้นางราวกับงูปราดเปรียวตัวหนึ่ง
“ระวังข้างหลัง”
นักฆ่าชุดดำที่อยู่ด้านข้างเพิ่งจะส่งเสียงเตือน กระบี่ยาวก็เสียบทะลุเข้าด้านหลังนักฆ่าชุดดำคนนั้นแล้ว เลือดสดๆ หยดลงจากปลายกระบี่ดังติ๊งติ๊ง ซ่งหวานหว่านดึงกระบี่อ่อนกลับมา พร้อมด้วยเสียงนักฆ่าชุดดำคนนั้นล้มลงกับพื้น
ซ่งหวานหว่านถือกระบี่อ่อนเข้าประจันหน้ากับนักฆ่าชุดดำสองคนอีกครั้ง เห็นเพียงกระบี่อ่อนของนางยิ่งร่ายรำก็ยิ่งรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับมีมังกรเงินบินขึ้นบินลงโอบล้อมพันตัวนางเอาไว้ทั้งซ้ายขวา
ใช้เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา นักฆ่าชุดดำก็ล้มลงภายใต้คมกระบี่ของนางไปสิบกว่าคน ทว่าที่แขนซ้ายของนางก็ถูกฟันไปหนึ่งแผลเช่นกันโดยมีเลือดสดๆ ไหลลงมาตามหลังมือ
สิ่งที่นางไม่ได้สังเกตเห็นคือ เลือดที่ไหลมาโดนแหวนอวกาศสีม่วงที่นางสวมไว้บนนิ้วถูกแหวนดูดกลืนหายไปในพริบตา ก่อนที่แหวนจะเรืองแสงสีม่วงออกมาจางๆ
ซ่งหวานหว่านสังหารจนตาแดงฉาน มารดามันเถอะ นักฆ่าเหล่านี้มากันไม่จบไม่สิ้นจริงๆ รอข้าเจียดเวลาไปยึดรังโจรของพวกเจ้าได้เมื่อไหร่ คอยดูซิว่าพวกเจ้าจะหยิ่งผยองกันอย่างไร
นักฆ่าชุดดำมีจำนวนมากเกินไปจริงๆ พวกเจียงเทาเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่ต่างกัน ดูจากสถานการณ์แล้ว คิดจะฆ่าพวกมันให้หมดคงไม่ง่ายจริงๆ อาจต้องจบลงด้วยการบอบช้ำทั้งสองฝ่าย
ซ่งหวานหว่านเล็งไปที่หัวหน้านักฆ่า จากนั้นก็กุมกระบี่อ่อนไว้แน่นแล้วพุ่งเข้าไป จับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน ควบคุมตัวหัวหน้าได้แล้วค่อยว่ากัน
ให้ตายเถอะ เมื่อครู่เหตุไฉนถึงคิดไม่ได้กันนะ สมองหมูจริงๆ เชียว
หลังผ่านการต่อสู้อันดุเดือดไปหนึ่งยก ซ่งหวานหว่านถึงค่อยคุมตัวหัวหน้านักฆ่าได้อย่างง่ายดาย นางเอากระบี่อ่อนพาดไว้ตรงลำคอของเขาแล้วตะโกนว่า “หยุดมือ! หยุดมือให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
พอได้ยินเสียงตะโกน คนทั้งหมดก็พากันหันหน้ามองมา เมื่อนักฆ่าชุดดำเห็นหัวหน้าถูกจับก็ไม่กล้าผลีผลามอีก พวกเจียงเทาจึงขยับเข้ามาใกล้ซ่งหวานหว่านทันที
“ขอรับ”
ซ่งหวานหว่านเดินนำหน้า เจียงเทาโบกมือส่งสัญญาณให้คนอื่นๆ ไปตรวจดูศพพร้อมกัน
หลังตรวจดูศพเหล่านั้นเสร็จ องครักษ์เงาที่หูดับชั่วคราวก็กลับมาเป็นปกติ ซ่งหวานหว่านจึงจัดการบาดแผลโดยใส่ยาพันผ้าพันแผลให้พวกเขา
ฮวาอิ่งถามถามอย่างสงสัย “นายหญิง เมื่อครู่ที่ท่านตะโกนว่าหมอบลงหมายความเช่นไรเจ้าคะ”
“คำว่าหมอบลงที่หวางเฟยพูดก็หมายถึงนอนคว่ำลงนั่นแหละ” เจียงเทาตอบแทนซ่งหวานหว่าน
ฮวาอิ่งกลอกตา นายหญิงนี่ก็จริงๆ เลย นอนคว่ำก็นอนคว่ำสิ ทำไมต้องตั้งคำใหม่ด้วย ทำเอาคนอื่นฟังไม่เข้าใจ เลยต้องกินฝุ่นไปไม่น้อยเลย
“เจียงเทา เจ้ารู้แล้วทำไมเจ้าไม่เอ่ยเตือนทุกคน” ฮวาอิ่งถามอย่างโกรธๆ อยู่บ้าง นางเป็นสตรีคนหนึ่ง ตอนนี้สภาพเหมือนกับขอทานไม่มีผิด
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน!”
“แล้วทำไมเจ้าถึงนอนคว่ำลงตามนายหญิงเล่า”
“เพราะข้าตอบสนองเร็วอย่างไรล่ะ เจ้าต้องจำไว้ ต่อไปเห็นหวางเฟยทำสิ่งใด เจ้าก็แค่ทำตาม แล้วเจ้าจะไม่มีวันเสียเปรียบเด็ดขาด”
“ตกลง”
หลังซ่งหวานหว่านทำแผลให้องครักษ์เงาเสร็จ ถึงค่อยถอนตัวกลับไปยังข้างรถม้า เจียงอู๋วั่งเห็นบาดแผลที่แขนนาง ก็พูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “เจ้าใส่ยาพันแผลให้ผู้อื่น แต่ไม่รู้จักทำแผลให้ตัวเองหรือไร”
“อ้อ ข้าลืมไป”
เจียงอู๋วั่งดึงแขนนางเข้ามาเพื่อจะพันแผลให้นาง นางกลับรีบถอยหลังไปอีกด้าน “ท่านอ๋อง ข้าทำเองเจ้าค่ะ”
นางไม่ลืมว่าต้องรักษาระยะห่างจากเขา ยิ่งไกลยิ่งดี!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต
ไม่ต่อแล้วหรอออ...
5555555555...
ต่อไหมค่ะ...
สนุกมากกกค่ะ...