หลังทานมื้อเช้าเสร็จ ซ่งหวานหว่านกับเซี่ยซื่อก็ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนน่าหลันไท่เฟยที่สวนดอกไม้ด้านหลังจวน เพิ่งจะเดินออกไปได้ไม่ไกลนัก สตรีที่แต่งกายงดงามหยาดเยิ้มกลุ่มหนึ่งก็เดินเยี่ยมหน้าเข้ามา เพียงแวบเดียวก็มองออกว่าการแต่งกายผ่านการใคร่ครวญมาอย่างดี
ทว่าในบรรดาสตรีเหล่านี้ กลับไม่มีเงาร่างของหลินชิงไต้อยู่เลย
“หม่อมฉันมารอถวายพระพรพระนางไท่เฟยเพคะ” สตรีทั้งกลุ่มต่างคุกเข่าทำความเคารพ
สีหน้าของน่าหลันไท่เฟยพลันเปลี่ยนเป็นดำทะมึน “ตามสบาย ลุกขึ้นเถิด เรารับการคุกเข่านี้ของพวกเจ้าไม่ไหว”
เหล่าสตรีต่างแสดงท่าทีเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ลุกขึ้นมาอย่างกระอักกระอ่วน
“ยกโขยงกันมาทำอะไรที่นี่ อย่ามาขวางทางเรา”
เหล่าสตรีทั้งหมดต่างแยกออกเป็นสองฝั่งหลีกทางให้ด้วยความหวาดเกรง น่าหลันไท่เฟยคร้านจะชายตามองพวกนางสักแวบ นางก้าวยาวๆ เดินไปยังด้านหน้า
“เฮอะ! มีอะไรให้น่าวางมาดกัน พวกเราเป็นคนของฝ่าบาท หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ท่านอ๋อง ใครอยากจะมามองสีหน้ายายแก่ใกล้ตายนี่กัน” อนุนางหนึ่งบ่นพึมพำเสียงค่อย
“จริงด้วย ยายแก่ใกล้ตายนี่ก็แค่กล้าวางอำนาจต่อหน้าพวกเราเท่านั้นแหละ” สตรีที่อยู่ด้านข้างส่งเสียงเห็นพ้อง
“ยังมีจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวนั้นอีก พอเห็นนางทีไรรู้สึกขยะแขยง ไม่รู้ว่าใช้มารยาอะไร ถึงทำให้ท่านอ๋องลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น”
“ได้ยินบ่าวพูดกันว่านังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ยังไปรับยายแก่ใกล้ตายที่เขาอู่ไถพร้อมกับท่านอ๋องด้วย”
“...”
เหล่าสตรีกลุ่มนั้นนินทากันสนุกปาก
พวกนางคิดว่าน่าหลันไท่เฟยเดินจากไปไกลแล้ว คงไม่ได้ยินที่พวกนางซุบซิบกัน ไม่ผิด น่าหลันไท่เฟยไม่ได้ยินจริงๆ นั่นแหละ แต่ซ่งวานหว่านโสตหูระดับใดกัน พลังฝึกฝนใกล้จะทะยานอีกขั้นหนึ่งแล้ว คำพูดเหล่านี้จึงเข้าหูซ่งหวานหว่านโดยไม่พลาดสักตัวอักษรเดียว
ซ่งหวานหว่านมีสีหน้าเย็นชา ประคองน่าหลันไท่เฟยหมุนกายเดินกลับมา น่าหลันไท่เฟยจึงมองนางด้วยความสงสัยอยู่เล็กน้อยแวบหนึ่ง พอเห็นนางทำสีหน้ายากจะมอง ก็ไม่ได้ถามอะไร
ครั้นสตรีเหล่านั้นเห็นน่าหลันไท่เฟยเดินกลับมา ก็พลันรู้สึกหวาดผวาตัวสั่นสะท้าน แต่ในใจยังคงกอดความหวังเอาไว้สายหนึ่ง คงไม่ใช่มาหาพวกนางหรอกนะ พระนางไท่เฟยจะมีความสามารถถึงขั้นได้ยินเสียงก่นด่าของพวกนางเชียวหรือ
ซ่งหวานหว่านเดินมาหยุดตรงหน้าพวกนาง ในแววตาฉายแววประหัตประหารมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม “เมื่อครู่พวกเจ้าพูดอะไรนะ พูดใหม่อีกครั้งสิ”
“หม่อมฉัน พวกหม่อมฉันไม่ได้พูดอะไรเลยเพคะ” พวกนางต่างหลบสายตา ไม่กล้ามองซ่งหวานหว่าน
“เจ้าบอกว่าพวกเจ้าเป็นคนของฝ่าบาท หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ท่านอ๋อง ใครอยากจะมามองสีหน้ายายแก่ใกล้ตายอย่างเสด็จแม่ข้า ซ้ำเจ้ายังบอกว่าเสด็จแม่ได้แต่วางอำนาจต่อหน้าพวกเจ้าเท่านั้น อีกทั้งเจ้า เจ้าบอกว่า…”
ซ่งหวานหว่านชี้ไปที่พวกนางอย่างแม่นยำไม่ผิดตัว พร้อมกันเอาคำพูดของพวกนางมาพูดใหม่อีกครั้ง
สตรีเหล่านี้ต่างตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้นตัวสั่นพั่บๆ ราวกับร่อนแกลบ ครั้นน่าหลันไทยเฟยได้ยินเพลิงโทสะก็ลุกโหม ชี้นิ้วไปที่พวกนางแล้วกล่าวอย่างเดือดดาล “ก็แค่พวกที่เอามาวางขึ้นหิ้งไม่ได้กลุ่มหนึ่ง เราไม่ได้เชิญพวกเจ้ามามองสีหน้ายายแก่ใกล้ตายอย่างเราเสียหน่อย เป็นใครที่มอบความกล้าให้พวกเจ้าถึงได้กล้ามานินทาเราลับหลังเช่นนี้”
“พระนางไท่เฟยโปรดทรงอภัยโทษปล่อยหม่อมฉันไปสักครั้งเถิดเพคะ ต่อไปหม่อมฉันไม่กล้าอีกแล้ว” สตรีกลุ่มนั้นพากันรีบร้อนโขกศีรษะอ้อนวอน
"ไม่ว่าอย่างไรเราก็เป็นพระสนมของอดีตฮ่องเต้พระองค์ก่อน ยังไม่ถึงคราวให้อนุกลุ่มหนึ่งมาพูดจานินทาว่าร้ายกันเช่นนี้ หว่านเอ๋อร์ ไปตามท่านอ๋องมาที่นี่ ให้ท่านอ๋องจัดการลงโทษพวกนาง”
“เพคะ เสด็จแม่” ซ่งหวานหว่านหมุนกายเดินจากไปทันที พริบตาที่กำลังจะหมุนกาย รอยยิ้มก็ระบายเต็มใบหน้าแล้ว
คิกคิก กำลังคิดอยู่เลยว่าจะไล่สตรีเหล่านี้ออกจากจวนอ๋องอย่างไรดี! คิดไม่ถึงเลยว่ากำลังจะนอนก็มีคนส่งหมอนมาให้ถึงที่ ไม่ต้องให้นางปวดสมองอีก
ซ่งหวานหว่านรวดเร็วมาก ใช้เวลาเพียงสามนาทีก็เชิญเจียงอู๋วั่งมาที่นี่ได้แล้ว
หลังเจียงอู๋วั่งฟังคำบอกเล่าของน่าหลันไท่เฟยเสร็จ ก็ไม่อาจเก็บงำประกายสังหารในดวงตาได้อีก จึงโบกมือหนากล่าวว่า “ใครก็ได้ จับพวกนางมัดให้เปิ่นหวัง พาพวกนางเข้าวังไปพบฮ่องเต้”
“ท่านอ๋อง ปล่อยหม่อมฉันไปเถิดเพคะ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว”
“ท่านอ๋องโปรดทรงอภัยให้ด้วย ท่านอ๋องโปรดทรงไว้ชีวิตด้วยเพคะ”
“...”
ไม่ว่าสตรีเหล่านี้จะอ้อนวอนเช่นไร เจียงอู๋วั่งก็ยังคงนิ่งเฉยไม่สนใจ
ความเร็วขององครักษ์เงานั้นรวดเร็วมาก และไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาเช่นกัน พอจับสตรีเหล่านี้มัดได้ก็โยนไปบนรถม้าทันที
“ช่างเถิด เรารับการคารวะจากฮ่องเต้ไม่ไหว เพราะคนของท่านล้วนไม่เห็นยายแก่ใกล้ตายอย่างเราอยู่ในสายตา!” น่าหลันไท่เฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“อะไรนะ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ใครกันที่หาญกล้าลบหลู่ไท่เฟยเช่นนี้?”
“นำตัวเข้ามา” เจียงอู๋วั่งตะโกนออกไปด้านนอก
ยามสตรียี่สิบกว่าคนที่กำลังร้องห่มร้องไห้ถูกพาตัวเข้ามาในท้องพระโรง มุมพระโอษฐ์ของฝ่าบาทก็กระตุกไม่หยุด
“นี่... ไท่เฟย พวกนางล้วนเป็นอนุภรรยาของน้องชาย ไฉนถึงบอกว่าเป็นคนของเราเล่า”
“ฮ่องเต้ นี่ก็คือสิ่งที่พวกนางพูดเองเพคะ พวกนางบอกว่าเป็นคนของฮ่องเต้ ไม่อยากมองสีหน้ายายแก่ใกล้ตายอย่างข้า”
ฝ่าบาทพลันกริ้วจัด พวกของเหลือไร้ประโยชน์ ไร้ความสามารถไม่พอยังทำให้เสียเรื่องอีก ให้พวกนางเข้าไปในจวนจ้านอ๋องเพื่อหาจุดอ่อนของจ้านอ๋อง คิดไม่ถึงว่าจุดอ่อนอะไรล้วนหาไม่พบสักอย่าง ยังสมรู้ร่วมคิดกันล่วงเกินน่าหลันไท่เฟยอีก นี่ๆ จะให้เราทำเช่นไรดี
“ไท่เฟยล้อกันเล่นแล้ว ในเมื่อพวกนางเข้าจวนจ้านอ๋องแล้ว ก็คือคนของจ้านอ๋อง จะเป็นคนของเราได้อย่างไรกัน”
“ฮึ!” น่าหลันไท่เฟยแค่นเสียงเย็น เบือนหน้าหนีไม่สนใจฝ่าบาทอีก
“พวกเจ้าช่างอาจหาญกันเหลือเกิน ถึงกับกล้าลบหลู่ไท่เฟย พวกเจ้ารู้ความผิดหรือไม่” ฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นไท่เฟยไม่สนใจเขา จึงได้แต่หยิบเอาสตรีเหล่านั้นมาระบายโทสะ เพื่อแก้ไขความอึดอัดคับข้อง
“หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วเพคะ ขอฝ่าบาทโปรดทรงพระเมตตา”
จู่ๆ เจียงอู๋วั่งก็เอ่ยปากกล่าวว่า “เสด็จพี่ ในเมื่อเสด็จพี่ตรัสว่าสตรีเหล่านี้คือคนของน้อง เช่นนั้นน้องก็มีสิทธิ์จัดการลงโทษใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“แน่นอน คนของน้อง พี่ยังคงให้น้องพี่เป็นคนจัดการเอง!” ฝ่าบาทหาทางลงโดยเอาปัญหาโยนให้เจียงอู๋วั่ง เพราะสตรีเหล่านี้ไม่มีค่าใดๆ ให้ใช้ประโยชน์อีกต่อไป
“เช่นนั้นก็ดี นับแต่นี้ไป ให้ขับสตรีเหล่านี้ออกจากจวนจ้านอ๋องให้หมด”
“เสด็จพี่ เช่นนั้นน้องขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่าบาททรงโบกพระหัตถ์อย่างไม่มีทางเลือก โกรธจนพูดอะไรไม่ออก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต
ไม่ต่อแล้วหรอออ...
5555555555...
ต่อไหมค่ะ...
สนุกมากกกค่ะ...