หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต นิยาย บท 34

ซ่งหวานหว่านเข็นเจียงอู๋วั่งออกจากท้องพระโรงพร้อมกับน่าหลันไท่เฟย บนท้องพระโรงพลันเกิดเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้น ขุนนางใหญ่ทั้งบุ๋นบู๊ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นบิดาและท่านลุงของสตรีเหล่านั้นต่างก็มีความคับแค้นใจแน่นอยู่เต็มอก

ฝ่าบาทกุมขมับปวดพระเศียร เขานึกว่าเจียงอู๋วั่งจะนำสตรีเหล่านี้กลับไปจัดการลงโทษ หรือออกคำสั่งให้สังหารทิ้งไปเสีย กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะโยนสตรีเหล่านี้ไว้บนท้องพระโรง

หากเจียงอู๋วั่งออกคำสั่งให้สังหารสตรีเหล่านี้ ก็จะกระตุ้นให้ญาติของพวกนางรวมตัวกันต่อต้าน ญาติของสตรียี่สิบกว่าคนก็เท่ากับขุนนางใหญ่บุ๋นบู๊ยี่สิบกว่าคน ถือเป็นขุมกำลังที่ไม่อาจดูเบาได้กลุ่มหนึ่ง

ตอนนี้เขาทิ้งขว้างสตรีเหล่านี้ไว้บนท้องพระโรง ฝ่าบาทจะตีก็ไม่ได้ด่าก็ไม่ได้ และยิ่งไม่กล้าสังหารพวกนาง เขาไม่อาจหาญถึงขนาดล่วงเกินขุนนางใหญ่ยี่สิบกว่าคนพร้อมกัน หากขุนนางใหญ่เหล่านี้เกิดย้ายข้างไปอยู่อีกฝั่ง ร่วมมือกับเจียงอู๋วั่งมาจัดการเขา เช่นนั้นฝ่าบาทอย่างเขาก็คงเกิดปัญหาขึ้นแล้วจริงๆ

เหล่าขุนนางใหญ่เอะอะเอ็ดตะโรกันอยู่ครึ่งวัน ฝ่าบาททรงหงุดหงิดเหลือทน ก่อนจะตบพระหัตถ์ขวาลงกับโต๊ะแล้วตะโกนว่า “เงียบ!”

ขุนนางใหญ่บุ๋นบู๊ทั้งหลายเงียบเสียงลงโดยพลัน รอคอยฝ่าบาทเปล่งวาจา

“ขุนนางรักทุกท่าน พวกเจ้าคงได้ยินกันหมดแล้ว เป็นบุตรสาวหลานสาวของพวกท่านเองที่ไม่เคารพไท่เฟย ถึงเราอยากช่วยพวกนางก็ช่วยไม่ได้ เพราะอย่างไรน่าหลันไท่เฟยก็คือผู้อาวุโสของเรา กระทั่งเราก็ต้องยอมลงให้นางถึงสามส่วน”

“ฝ่าบาท แล้วนี่จะทำเช่นไรดีเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท เพื่อนบ้านข้างเคียงต่างรู้ว่าลูกของเราเข้าจวนจ้านอ๋องแล้ว หากตอนนี้ถูกส่งตัวกลับมา แล้วจะให้เอาหน้าแก่ๆ ของพวกกระหม่อมไปวางไว้ตรงไหนเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

“...”

“ขุนนางรักทุกท่าน พวกเจ้าพาพวกนางกลับไปก่อนเถิด ไว้วันหลังเราจะให้ฮองเฮาจัดงานเลี้ยงชมบุปผา แล้วให้หนุ่มสาวที่มีความสามารถและถึงวัยแต่งงานมาร่วมงาน ให้พวกนางพัฒนาความสัมพันธ์กันเองเป็นอย่างไร”

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา!”

ขุนนางใหญ่ที่เข้าสู่ราชสำนักได้ต่างไม่ใช่คนโง่ ล้วนมองออกว่าฝ่าบาทคิดจะยืมมือจ้านอ๋องสังหารสตรีเหล่านี้ เพราะสตรีเหล่านี้ถูกจ้านอ๋องส่งกลับมาในวัง เท่ากับเป็นการตบพระพักตร์ฝ่าบาทอย่างโจ่งแจ้ง เพียงแต่จ้านอ๋องเดิมทีก็ไม่ได้เป็นที่ยอมรับของฝ่าบาทมาแต่ไหนแต่ไร

ไม่ใช่พ่อทุกคนจะสารเลวเหมือนกับซ่งเว่ยหลิงหมด ที่เห็นแต่ผลประโยชน์ของตนไม่สนความเป็นตายของบุตรสาว ดังนั้นขุนนางใหญ่เหล่านี้จึงยังคงเกรงกลัวว่าฝ่าบาทจะสังหารสตรีเหล่านี้

และในเวลานี้ บนรถม้าของเจียงอู๋วั่ง

น่าหลันไท่เฟยยังคงโกรธจัด “สตรีพวกนี้ ควรขับออกจากจวนไปเสียตั้งนานแล้ว พอข้าเห็นพวกนางก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว”

“เสด็จแม่ หากทรงคิดจะขับสตรีเหล่านี้ออกจากจวนอ๋องยังคงต้องมีเหตุผลสมควรไม่ใช่หรือ” เจียงอู๋วั่งมองน่าหลันไท่เฟยพลางกล่าวอธิบาย

“ฮึ! หากวันนี้ไม่ได้หว่านเอ๋อร์ เราคงยังไม่รู้ว่าพวกนางกล้าทำอะไรลับหลังเราบ้าง ต่อไปหากเจ้ารับอนุอีก จะต้องผ่านตาเราก่อน อย่าเที่ยวไปรับหมาแมวที่ไหนมาเข้าจวนอ๋อง”

ซ่งหวานหว่านมุมปากกระตุก พลางลอบคิดในใจว่า ‘หากเจียงอู๋วั่งกล้ารับอนุ ข้าจะหย่ากับเขา’

“เสด็จแม่ ลูกยังไม่ถึงขั้นกินไม่เลือกพ่ะย่ะค่ะ”

“แม่ก็แค่เอ่ยเตือนเจ้าไว้ก่อน ยังมีห้ามทำให้หว่านเอ๋อร์รู้สึกไม่เป็นธรรม”

ซ่งหวานหว่านคิดในใจ ‘เสด็จแม่หนอ ท่านก็รู้ว่าห้ามทำให้ข้ารู้สึกไม่เป็นธรรม แล้วทำไมไม่บอกให้เขาอย่ารับอนุเล่า”

“เสด็จแม่ ลูกไม่มีความคิดที่จะรับสนมพ่ะย่ะค่ะ”

ซ่งหวานหว่านคิด ‘เจียงอู๋วั่ง ข้ายกนิ้วโป้งให้เจ้า’

“นั่นคงไม่ได้ บุรุษมีอนุหลายคนถือเป็นเรื่องปกติ อีกทั้งเจ้ายังเป็นถึงท่านอ๋องอีกด้วย” 

“เสด็จแม่ ท่านยังทนทุกข์จากสตรีเหล่านั้นไม่พออีกหรือ”

“ดังนั้นแม่ถึงให้เจ้าเลือกให้ดีๆ อย่างไรล่ะ”

“สรุปว่าลูกไม่อยากรับอนุ ต่อไปห้ามเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก”

น่าหลันไท่เฟยเห็นท่าทางแน่วแน่ของบุตรชายตนเอง ก็ไม่คิดสั่งสอนต่ออีก ได้แต่กล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ได้ๆๆ เจ้าเติบใหญ่แล้ว แม่คงสั่งสอนเจ้าไม่ได้แล้ว หากเจ้ากับหว่านเอ๋อร์คลอดหลานอวบอ้วนให้เราสักหลายคน เราก็จะไม่บ่นว่าอะไรอีก”

ซ่งหวานหว่าน “...”

เจียงอู๋วั่ง ”...”

ทำไมถึงเอ่ยเข้าเรื่องเด็กได้ล่ะเนี่ย

“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”

ซ่งหวานหว่านเรียกฮวาอิ่ง แล้วตามพ่อบ้านออกจากประตูหลักจวนอ๋องพร้อมกัน

รถม้าเคลื่อนมาถึงถนนหรงชาง ถนนเส้นนี้เป็นเส้นหนึ่งที่ครึกครื้นที่สุดในเมืองหลวง ผู้คนเดินสวนกันไปมา ถนนสองฟากฝั่งคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ยังมีพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่บางคนตะโกนเรียกลูกค้าไม่หยุด

พ่อบ้านชี้ไปที่ร้านค้าที่ปิดอยู่ตรงหน้าแล้วพูดว่า “หวางเฟย นี่ก็คือร้านที่ท่านอ๋องให้บ่าวเตรียมให้ท่านพ่ะย่ะค่ะ ท่านว่าทำเลที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง”

“ทำเลที่ตั้งไม่เลว คึกคักยิ่ง ลองเปิดประตูดูหน่อย”

“พ่ะย่ะค่ะ หวางเฟย”

พ่อบ้านหยิบกุญแจออกมาเปิดประตูร้าน เห็นเพียงว่าในร้านดูสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ โครงสร้างการจัดวางของตัวร้านก็เหมาะมากสำหรับเปิดโรงหมอ โดยพื้นฐานแล้วไม่จำเป็นต้องตกแต่งอะไรเพิ่ม แค่ซื้อตู้ยาบางส่วนมาตั้งก็สามารถเปิดกิจการได้แล้ว

น่าหลันไท่เฟยกำชับกับพ่อบ้านโดยตรงว่า “พ่อบ้าน เจ้าไปจัดซื้อตู้ยามา แล้วก็ไปติดต่อพ่อค้าขายยาสมุนไพรเพื่อซื้อสมุนไพรบางส่วนเข้ามาสักหน่อย ต้องการยาสมุนไพรอะไรก็ถามหวางเฟยของเจ้าได้เลย ส่วนเงินก็ไปเบิกเอาที่ท่านอ๋องของเจ้า”

“พ่ะย่ะค่ะ พระนางไท่เฟย” พ่อบ้านรับคำอย่างเคารพนอบน้อม

“หว่านเอ๋อร์ เจ้าพอใจกับการจัดการของแม่หรือไม่” น่าหลันไท่เฟยมองซ่งหวานหว่านพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“ขอบพระทัยเสด็จแม่เพคะ สะใภ้พอใจมาก ท่านคือแม่สามีที่ดีที่สุดในใต้หล้า ได้มีแม่อย่างท่านคือผลบุญที่หว่านเอ๋อร์สั่งสมมาหลายชาติ” ซ่งหวานหว่านจูงมือน่าหลันไท่เฟยพลางกล่าวออดอ้อน

น่าหลันไท่เฟยถูกชมจนจิตใจเบิกบาน พึงพอใจในตัวซ่งหวานหว่านมากกว่าเดิม

“ไปกันเถิด! ร้านก็ได้ดูแล้ว ยากนักที่พวกเราจะได้ออกมา ไปเดินตลาดเป็นเพื่อนข้าหน่อย”

“น้อมรับคำสั่ง” ซ่งหวานหว่านทำท่าตะเบ๊ะแบบทหารที่ใช้ในยุคปัจจุบันอย่างซุกซน ทำเอาน่าหลันไท่เฟยระบายยิ้มกว้าง ฮวาอิ่งกับพ่อบ้านก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้เช่นกัน

ฮวาอิ่งคิดในใจว่า ‘มิน่าที่ท่านอ๋องรู้จักพูดล้อเล่น ที่แท้ก็ถูกหวางเฟยแพร่ใส่นี่เอง

น่าหลันไท่เฟยลากซ่งหวานหว่านออกมาจากร้าน ทางพ่อบ้านพอปิดประตูร้านแล้วก็ไปติดต่อเรื่องตู้ยา จึงเหลือเพียงฮวาอิ่งที่คอยติดตามอยู่ด้านหลังน่าหลันไท่เฟยและซ่งหวานหว่าน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต