หญิงอ้วนทำนา กับสามีบนเขาจอมขี้แกล้ง นิยาย บท 11

เมื่อทั้งสองคนกลับจากภูเขาก็เกือบจะค่ำแล้ว

เนื่องจากซูจื่อหังได้รับบาดเจ็บ ถูซินเยว่จึงช่วยประคองเขาตลอดทางกลับบ้าน

เมื่อมาถึงประตูบ้าน ซูจื่อหังก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า "ซินเยว่ เจ้าเอาหมูป่าไปซ่อนไว้ก่อน ถ้าท่านย่าและท่านป้าเห็นเข้า พวกเขาต้องโวยวายเป็นแน่ หลังจากขายได้เงินแล้ว ค่อยเอาไปให้พวกท่านสักขานึง”

อย่างไรแล้วแม่เฒ่าตระกูลซูก็คือย่าของเขา แม้ว่าวันนี้ทั้งสองคนจะทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน แต่ซูจื่อหังก็ยังคงนึกถึงความดีที่มีอยู่บ้างของพวกเขา

จึงคิดจะเก็บขาหมูไว้ให้พวกเขาสองคนเพื่อแสดงความกตัญญู

ถูซินเยว่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

แต่ทันทีที่เขาผลักประตูไม้ของลานบ้านเปิดออก ใบหน้าของซูจื่อหังก็เต็มไปด้วยความตระหนก หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็วิ่งเข้าไปในลานบ้านโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บ

"ท่านแม่ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม"

เกิดอะไรขึ้น?

ถูซินเยว่รู้สึกงุนงง จึงเดิมตามหลังซูจื่อหังไป

เมื่อเธอเห็นนางหยูนอนเหยียดอยู่ที่ทางเข้าลานบ้าน ก็ตกใจเช่นเดียวกัน

ก่อนไปยังเห็นนางหยูนอนอยู่บนเตียงในห้องอยู่เลยนี่นา ทำไมจู่ ๆ นางถึงไปนอนอยู่ที่หน้าประตูลานบ้านได้ล่ะ?

เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นแม่เฒ่าแห่งบ้านตระกูลซูยืนอยู่ใต้ต้นพุทราที่คดงอ ด้วยสีหน้าเมินเฉย โบกพัดใบลานอยู่ในมือ

เมื่อเห็นซูจื่อหังและถูซินเยว่กลับมา แม่เฒ่าตระกูลซูก็พูดขึ้นว่า "จื่อหังเรื่องแยกครอบครัวเจ้าพูดขึ้นมาเอง เมื่อครู่ข้าเพิ่งหารือกับคุณปู่ของเจ้าแล้ว หากเจ้าต้องการจะแยกครอบครัว ได้ แยกก็แยก แต่ว่าพื้นที่ทั้งหมดของบ้านตระกูลซูเป็นของพวกข้า เจ้าจะอยู่ที่นี่ไม่ได้”

“ทำไมเราจะอยู่ที่นี่ไม่ได้?” ถูซินเยว่ชะงัก ขบฟันแน่น “ถ้าท่านไล่พวกข้าออกไป แล้วพวกข้าจะไปอยู่ที่ไหน? ลูกสะใภ้ของท่านยังบาดเจ็บอยู่ ทำไมท่านถึงได้ใจไม้ไส้ระกำเช่นนี้” เธอเหลืออดเต็มทน ไม่เคยเห็นเรื่องบ้า ๆ เช่นนี้มาก่อน นางหยูรับใช้นางเยี่ยงวัวเยี่ยงควายมากว่าสิบปี แต่นางกลับไม่สนใจใยดีชีวิตของนางหยูเลยแม้แต่น้อย

แม่เฒ่าแห่งบ้านตระกูลซูจ้องมองเธอด้วยดวงตาขุ่นมัว ไม่ตอบอะไร

เสียงเย็นชาและประชดชันของซูเฟิ่งอี๋ดังลอยมาจากห้องด้านข้าง เมื่อหันไปก็เห็นนางเดินย่ำออกมาจากห้องของนางหยู โยนผ้าห่มในมือลงบนพื้น จากนั้นมองไปที่ถูซินเยว่ยิ้มเยาะพลางพูดว่า"โอ้โห นางอ้วนหายสติไม่ดีแล้วรึ?”

เรียกเธอว่านางอ้วนอีกแล้ว อ้วนบ้านแกสิ!

ถ้าไม่ใช่ว่าแบกหมูป่าไว้อยู่บนหลัง ถูซินเยว่คงอยากจะขว้างขวานในมือใส่ใบหน้าเรียวแหลมที่ดูโหดร้ายของซูเฟิ่งอี๋ให้ผ่าออกเป็นสองส่วน

ซูเฟิ่งอี๋พูดจาถากถางถูซินเยว่ไปอีกสองสามคำ จากนั้นจึงเดินไปหาซูจื่อหังแล้วพูดด้วยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "ข้าเก็บข้าวของทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว วันนี้พวกเจ้าก็ย้ายออกจากบ้านตระกูลซูไปได้เลย ในเมื่ออยากจะแยกครอบครัว ก็ต้องทำให้มันถูกต้อง เจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ ข้างหน้านู่นมีเพิงมุงใบจากเก็บของอยู่ ต่อไปพวกเจ้าก็ย้ายไปอยู่กันที่นั่น"

เธอเดินไปที่ประตูแล้วชี้ไปทางคันนา

ถูซินเยว่มองตามนิ้วมือของอีกฝ่าย และแทบจะกระอักเลือดออกมา

ห่างออกไปจากลานบ้านของตระกูลซูประมาณห้าสิบเมตร มีกระท่อมใบจากตั้งอยู่จริง ๆ แต่เพิงโทรม ๆ ที่เอียงกระเท่เร่ จะพังมิพังแหล่แบบนี้ใครจะไปอยู่ได้ พื้นที่ทั้งหมดก็มีขนาดแค่ประมาณฝ่ามือเท่านั้น ไม่มีห้องครัว หรือห้องน้ำ ไม่ต่างอะไรจากบ้านของขอทาน

ตระกูลซูโหดร้ายเกินไปแล้วจริง ๆ

ใบหน้าของซูจื่อหังก็ดูแย่พอ ๆ กัน สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของแม่เฒ่าตระกูลถู พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา "พวกท่านจำเป็นต้องบีบให้พวกข้าจนตรอกเช่นนี้เลยหรือ?"

ซูเฟิ่งอี๋คงทำได้แค่พูด แต่คนที่เป็นผู้นำในการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ของบ้านตระกูลซูก็คือแม่เฒ่าและพ่อเฒ่าตระกูลซู พ่อเฒ่าตระกูลซูกระดูกกระเดี้ยวไม่ค่อยดี ตลอดทั้งปีไม่สามารถออกจากห้องได้ บุคคลเพียงผู้เดียวที่สามารถตัดสินใจกิจการงานต่าง ๆ ในบ้านก็คือแม่เฒ่าของตระกูลซู

ซู่เฟิงอี้คงไม่กล้าพูดแบบนี้หากไม่ได้รับอนุญาตจากแม่เฒ่าตระกูลซู

ซูจื่อหังรู้สึกชาไปทั้งตัว ผิดหวังอย่างแรงกับบุคคลในสายเลือดของตัวเองถึงสองคน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หญิงอ้วนทำนา กับสามีบนเขาจอมขี้แกล้ง