เย่เทียนเดาได้แต่แรกแล้วว่าซูเย่าหมิงต้องวางแผนทำร้ายเขา จึงสังเกตเห็นสีหน้าดุเดือดของยามคนนั้นได้ทันควัน แล้วจะไม่รู้ได้ยังไงว่านี่คงเป็นคนที่ซูเย่าหมิงเตรียมไว้
กลิ่นเหล้าอาจจะปลอมขึ้นมาได้ แต่ไม่ได้ดื่มก็คือไม่ได้ดื่ม ความใสสกาวของนัยน์ตานั่นแหละคือหลักฐานชิ้นดี
คิดมาถึงตรงนี้ เย่เทียนมองไปรอบๆโดยไม่ให้รู้ตัว และเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ยืนแอบอยู่ในมุมมืดทันที เขาต้องรู้แน่นอนว่าเกิดอะไรขึ้น
เย่เทียนกระตุกรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก นี่หาแก๊งอันธพาลมาจัดการตัวเองหรือนี่ ลูกไม้กระจอกเช่นนี้ เดี๋ยวฉันจะเล่นกับพวกแกหน่อยแล้วกัน
พอคิดแบบนี้แล้ว เย่เทียนก็ก้าวฉับไวมาอยู่ตรงหน้ายามคนนั้น กลั้นหายใจจนหน้าแดงก่ำ ท่าทางเหมือนโกรธจัด
“แกรู้มั้ยวะว่าเขาเป็นใคร ถึงกล้ามาชนเขาแบบนี้ ฉันว่าแกไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่มั้ย”
“ทำไมฉันต้องสนด้วยวะว่าพวกแกเป็นใคร พวกแกเป็นฝ่ายมาชนฉันชัดๆ พวกแกยังมีหน้ามารับบทเป็นผู้ถูกกระทำอีก”
ยามคนนั้นไม่หวั่นเลยสักนิด เขาตะคอกกลับไปด้วยท่าทีโมโหสุดๆ
ล้อเล่นรึเปล่า ไม่พูดถึงเรื่องที่เขาตั้งใจมาหาเรื่องอยู่แล้ว ต่อให้เขาไปชนพวกเขาโดยไม่ตั้งใจเพราะเมาจริงๆ สภาพผอมแห้งอย่างเย่เทียนเขาที่เป็นผู้ชายร่างกำยำมีอะไรต้องกลัว
เย่เทียนได้ฟังดังนั้น นัยน์ตาสีนิลมีแววเย็นเยียบฉายผ่านไปแวบหนึ่ง รอยยิ้มเย็นที่มุมปากกว้างขึ้นกว่าเดิม
“เป็นอย่างนั้นจริงๆเหรอ? ดูท่าถ้าฉันไม่ให้บทเรียนกับแก แกคงคิดจริงๆว่าแกเป็นใหญ่รองจากสวรรค์สินะ”
เห็นได้ชัดว่ายามคนนั้นไม่คิดว่าเย่เทียนจะโอหังขนาดนี้ เขาทำงานใต้บัญชาหยางเซ่าเหวิน ปกติไม่มีใครทำตัวไม่มีมารยาทใส่เขาจริงๆ
ความโอหังของเย่เทียนตอนนี้ส่งผลให้เขาเดือดดาลขึ้นมาทันที
ต่อให้เย่เทียนมีคนสนับสนุนเบื้องหลังแล้วยังไง เขาทำตามคำสั่งนะ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมายังมีหยางเซ่าเหวินค้ำหัวไว้ให้ เขาไม่มีอะไรต้องกลัว
ด้วยความคิดนี้ ยามคนนั้นขี้เกียจจะเปลืองน้ำลายกับเย่เทียนต่อไป เขาสบถบางอย่างและหวดกำปั้นใหญ่ยักษ์ใส่หน้าของเย่เทียนอย่างแรง
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายลงไม้ลงมือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง นัยน์ตาสีนิลของเย่เทียนฉายแววเย็นเยียบ ทว่ายืนนิ่งอยู่ที่เดิม ประหนึ่งว่าตกใจจนอึ้งไป
แต่ ในขณะที่กำปั้นของอีกฝ่ายกำลังจะโดนตัวเย่เทียน เขาถึงขยับอย่างฉับพลันและหลบกำปั้นของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับถีบออกไปอย่างแรง
ตู้ม!
เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น ยามคนนั้นไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดมหาศาลจากตรงท้องน้อย หน้าตาเหยเกบีบอัดเข้าด้วยกัน
เมื่อเขาฟื้นตัวจากความเจ็บปวดได้ก็กระเด็นลอยขึ้นจากพื้นไปแล้วทั้งคนและปลิวไปด้านหลัง
ร่างกายที่หนักอย่างน้อยหนึ่งร้อยห้าสิบโลของเขาเปรียบเสมือนว่าวที่เอ็นขาด กระเด็นออกไปเป็นรอยโค้งสวยงามกลางอากาศก่อนจะกระแทกลงพื้นที่ห่างออกไปกว่าสิบเมตรดังตู้ม ไม่ทันแม้แต่จะโอดครวญก็สลบหมดสติไป
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว เย่เทียนยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าปกติ ราวกับแค่ทำเรื่องเล็กเรื่องหนึ่งลงไปเท่านั้น ไม่มีอะไรให้ใส่ใจเลยสักนิด
แต่ภาพเหล่านี้เมื่อตกอยู่ในสายตาของซูเย่าหมิงที่อยู่ด้านหลังแล้วเขากลับอึ้งจนตาแทบถลนออกมา หน้าตาอย่างกับเห็นผี มุมปากอดกระตุกเบาๆไม่ได้
เขาวางแผนมาดิบดี แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนจะดุดันและมีพละกำลังมากขนาดนี้ แค่มองหน้ากันปราดเดียวก็ทำให้คนคนนั้นสูญเสียพลังต่อสู้ได้อย่างสิ้นเชิง และยังโดนถีบทีเดียวกระเด็นไปสิบกว่าเมตร
“เจ้า เจ้านี่ทำไมถึงมีแรงมากขนาดนี้ หรือว่าเขาคือฮัลค์เวอร์ชั่นคนปกติ?”
ซูเย่าหมิงขยี้ตาด้วยสีหน้าไม่เชื่อ แต่ภาพตรงหน้ายังไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด จนเขาต้องยอมรับความจริงอันเกินความคาดหมายนี้อย่างเสียมิได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่