ในขณะที่เย่เทียนและจี้เหยียนหรันค่อยๆเดินไปที่ประตูหน้าของหยงฟากรุ๊ป ประตูที่ตอนแรกปิดสนิทของหยงฟากรุ๊ปก็เปิดออกในที่สุด ผู้ชายสวมชุดสูทสิบกว่าคนพุ่งออกมาจากข้างใน
คนเหล่านี้นอกจากจะเป็นบรรดาผู้บริหารระดับสูงของหยงฟากรุ๊ปแล้วจะเป็นใครอื่นไปได้
ที่น่าแปลกใจคือสองพ่อลูกหยางหยงฟาและหยางจิ่งหมิงกลับไม่ได้อยู่ในนี้
ไม่ว่ายังไง จี้เหยียนหรันตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งตัวตึงถึงขีดสุด
เธอไม่ได้กลัว แต่เป็นเพราะโมโหล้วนๆ
ไม่ใช่แค่เพราะผู้บริหารระดับสูงสิบกว่าคนของหยงฟากรุ๊ปที่กำลังเดินเข้ามา แต่เพราะเสียงก่นด่าของฝูงชนด้านหลังด้วย
เธอคิดไม่ตกเลยว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกชาวมุงเลยสักนิด ทำไมพวกเขาต้องด่าเย่เทียนด้วย จำเป็นต้องใช้คำพูดที่ทิ่มแทงขนาดนั้นเลยเหรอ?
เย่เทียนสังเกตเห็นความผิดปกติของเด็กสาว เขาลูบข้อมือเรียวตามสัญชาตญาณและส่ายหัวเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้เธอผ่อนคลายลง
แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จี้เหยียนหรันจะผ่อนคลายลงจริงๆได้ยังไง?
ไม่ว่ายังไง เพียงครู่เดียวผู้บริหารระดับสูงสิบกว่าคนก็มาอยู่ตรงหน้าเย่เทียน และจ้องเย่เทียนเขม็ง ทว่าไม่พูดจา
เย่เทียนก็ไม่เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน เขาจ้องตอบบรรดาผู้บริหารระดับสูงสิบกว่าคนนั้นอย่างตรงไปตรงมา มุมปากแสยะยิ้มเบาๆ
การปรากฏตัวของคนที่ถูกพูดถึง ส่งผลให้เสียงก่นด่าของฝูงชนค่อยๆซาลง แต่ละคนเบิกตากว้างประหนึ่งว่ากระพริบตาแค่ทีเดียวก็จะพลาดช็อตเด็ด
“ไอ้การจ้องไปมาแบบนี้มันหมายความว่ายังไงวะ ทำไมไม่รีบบอกให้เย่เทียนคุกเข่า?”
“ใจร้อนไปทำไม ไม่เห็นเหรอว่าพ่อลูกตระกูลหยางยังไม่โผล่มาเลย? ไม่แน่อาจจะรอพวกเขาอยู่ก็ได้”
“แปลกจริง ทำไมฉันรู้สึกว่าผู้บริหารระดับสูงสิบกว่าคนนั้นสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ล่ะ!”
แต่ หลังจากที่ตึงใส่กันได้ไม่กี่นาที บรรดาผู้บริหารระดับสูงสิบกว่าคนของหยงฟากรุ๊ปก็ยังไม่มีใครออกมาบอกให้เย่เทียนคุกเข่า เป็นผลให้ฝูงชนที่มามุงดูชักจะอดทนไม่ไหวอีกต่อไป
พวกเขารอมาตั้งหลายชั่วโมงเพื่อดูฉากคุกเข่า บางคนไม่ได้กินข้าวเย็นด้วยซ้ำ ใครจะอยากรอเก้ออยู่ที่นี่กัน
“ยังไงกัน ตอนนี้จะถึงเวลาแล้วนะ พวกนายคิดจะจ้องตากับฉันทั้งคืนจริงๆรึไง?”
“บางทีพวกนายอาจจะมีอารมณ์สุนทรีย์แบบนั้น แต่ฉันไม่มีเวลาขนาดนั้นมาเล่นเป็นเพื่อนพวกนายหรอกนะ จะทำอะไรก็ทำ ให้ไวเลย”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชนดังขึ้นข้างหู เย่เทียนยิ้มมุมปากอย่างน่าพิศวง ก่อนจะตะโกนใส่ผู้บริหารระดับสูงสิบกว่าคนของหยงฟากรุ๊ปตรงหน้า
คำพูดนี้ส่งผลให้ผู้บริหารระดับสูงสิบกว่าคนของหยงฟากรุ๊ปสีหน้าย่ำแย่กว่าเดิม ไม่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นคนงอเข่าลงคนแรก แต่ทั้งสิบกว่าคนค่อยๆคุกเข่าลงให้กับเย่เทียน
“นี่ นี่มันเรื่องอะไรกันวะ? ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้?!”
“นี่มันเป็นไปได้ยังไง? คนที่ต้องคุกเข่าคือเจ้าเย่เทียนไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้! ฉันต้องฝันไปแน่ๆ!”
ภาพนี้ทำให้ผู้คนที่มุงดูอยู่ร้องเสียงหลงขึ้นมา แต่ละตาโตอ้าปากค้างขณะที่มองผู้บริหารระดับสูงสิบกว่าคนของหยงฟากรุ๊ปที่คุกเข่าให้กับเย่เทียนด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
ไม่ว่ายังไงหยงฟากรุ๊ปก็ตั้งรกรากอยู่ที่เมืองเอกมาสิบกว่าปี บวกกับคนที่ทำตัวเป็นปรปักษ์กับพวกเขาต่างมีจุดจบอนาถา จึงถูกเล่าลือต่อกันอย่างอัศจรรย์
เทียบกับหมอเทวดาเย่เทียนที่เพิ่งโด่งดังด้วยการช่วยคนในวันนี้เรียกได้ว่าฟ้ากับเหว
ในจินตนาการของทุกคน คนที่ต้องคุกเข่าในวันนี้ควรเป็นเย่เทียนสิถึงจะถูก แต่บัดนี้สถานการณ์กลับตัลปัตร ผู้บริหารระดับสูงของหยงฟากรุ๊ปนี่สมองมีปัญหาเหรอ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่