เย่เทียนขับรถยนต์ของซ่านหงเลี่ยง เป็นอาวดี้ธรรมดาๆมากขับอยู่บนถนน เนื่องจากอารมณ์ไม่ดี ความเร็วที่ขับก็กลับว่าไม่เร็วมาก ถึงขั้นกับพูดได้ว่าพอๆกับหอยทากที่คืบคลานเลย
ในความเป็นจริง เย่เทียนก็ไม่ได้คิดอยากจะ ‘ยืม’รถของซ่านหงเลี่ยงแต่ว่าเขานั่งอยู่ที่ขอบถนนเป็นเวลาสามสี่นาทีแล้ว ไม่มีรถแท็กซี่ผ่านมาเลยสักคัน!
ถ้าหากในเวลาปกติ เย่เทียนจะไม่บุ่มบ่ามเช่นนี้ แต่ในเวลานี้เขาเบื่อและหดหู่มาก เพียงแค่อยากจะไปจากที่นี่ให้เร็วๆหน่อย จะไปสนใจอะไรมากมายที่ไหนกันล่ะ ?
ทันใดนั้น รถสปอร์ตเปิดประตูทันสมัยคันหนึ่งก็พุ่งผ่านข้างๆไปอย่างรวดเร็ว เสียงดังฟ้าบ แทบจะครูดอาวดี้ของเย่เทียนไปแล้ว
เย่เทียนสามารถรับรู้ได้ว่าตัวรถโคลงเคลงเล็กน้อยอย่างชัดเจน แค่ใช้หัวแม่เท้าคิด ก็รู้แล้วรถสองคันนี้กระทบกันแล้วแน่นอน
โชคร้ายที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดทำให้เย่เทียนขมวดคิ้วแน่นแล้ว แอบว่าตามหลังว่าทำไมอีกฝ่ายขับรถประมาทขนาดนี้ รีบไปเกิดใหม่หรือไง?
เพียงแค่ ยังไม่รอให้เย่เทียนพูดอะไร รถสปอร์ตเปิดประทุนที่เพิ่งจะขับแซงไปกลับว่าจอดรถเสียงดังเอี๊ยดแล้ว เหยียบเบรกกะทันหันทำให้ล้อยางเสียดสีกับพื้นผิวอย่างรุนแรง เกิดเสียงดังแสบเข้าแก้วหู
รถสปอร์ตเปิดประทุนจอดลงทันที ขว้างกั้นทางที่เย่เทียนจะไปเลย เปิดประตูรถออก หนุ่มวัยรุ่นที่แต่งตัวหรูหราพาผู้หญิงหุ่นดีลงมาจากรถ เดินเข้ามายังเย่เทียนด้วยใบหน้าที่เร่งรีบ
ปังปัง!
ชายวัยรุ่นเคาะหน้าต่างรถอย่างหยาบคาย พูดอย่างโมโหว่า : “แกแม่งลงมาเดี๋ยวนี้!”
ดวงตาที่ดำเข้มของเย่เทียนหรี่ลงเล็กน้อย เดิมทีอารมณ์ของเขาก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่อยู่แล้ว ไอ้หมอนี่ดันมาทำท่าทำทางเย่อหยิ่งและเผด็จการอีก ทำให้เขาเกิดความคิดที่จะระบายอารมณ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ทำอะไร?”
คิดมาถึงตรงนี้ เย่เทียนเปิดประตูลงมาอย่างนื่งๆแล้ว มองไปยังชายวัยรุ่นอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ทำอะไร?แกแม่งยังมีหน้ามาถามฉันว่าทำอะไรอีกเหรอ?”
ชายวัยรุ่นมองเย่เทียนด้วยใบหน้าที่โมโหพร้อมพูดคำรามเสียงว่า : “แกไปดูเอง แกแม่งขูดรถของฉันแล้ว ถลึงตาต่ำๆของแกมองให้ชัดเจน รถของฉันคือรถเฟอร์รารีซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ล่าสุดของปีนี้ แกไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น รีบชดใช้เงินมาเลย!”
เย่เทียนได้ยินดังนั้น มุมปากอดไม่ได้ที่จะยิ้มยกอย่างเยือกเย็น แอบพูดเสียงเบาๆว่าปัจจุบันนี้คนชั่วที่ทำชั่วเองกลับแย่งที่จะกล่าวหาพูดอื่นก่อนนี่มีไม่น้อยเลยจริงๆ ทั้งๆที่เขาขับรถตามปกติ เป็นอีกฝ่ายที่ขับแซงขึ้นไปทำให้เกิดการเสียดสีกัน ถ้าหากพูดว่าใครผิดจริงๆ นั่นก็เป็นปัญหาของอีกฝ่ายอย่างไม่มีข้อสงสัย!
“เห็นแกทำพฤติกรรมที่ไม่มีมารยาท คิดไม่ถึงว่าแกจะหน้าไม่อายแบบนี้”
เย่เทียนส่ายหน้าเบาๆ พูดพร้อมยิ้มอย่างเยือกเย็นว่า : “เห็นชัดๆว่าแกเป็นคนแรกขับมาชนก่อน ยังจะกล้ามาขอให้ฉันชดใช้เงินอีก?ควรจะเป็นแกมากกว่าที่ต้องชดใช้เงินให้ฉันนะ?”
“เยสเข้!แกแม่งยังกล้ามาว่าฉันว่าหน้าไม่อายเหรอ?”
ชายวัยรุ่นโมโหทันที “แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?กล้ามาด่าฉันแบบนี้ ฉันว่าแกคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ?”
เย่เทียนจะรู้ได้ยังไงว่ากู่หงเลี่ยงที่อยู่ตรงหน้าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอะไรกันล่ะ เห็นเขาเย่อหยิ่งและเผด็จการแบบนี้ กลับว่าอยากจะดูว่าเขาจะแสดงอะไรออกมาได้ พูดด้วยท่าทางที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม: “ไม่ว่าแกจะชื่อว่ากู่หงเลี่ยงหรือว่าจินหงเลี่ยง แต่ความเป็นจริงคือฉันขับรถของฉันอยู่ดีๆ แกคิดอยากจะแซงขึ้นไปกลับว่าไม่ระวังขูดกับรถของฉันแล้ว ความรับผิดชอบของเรื่องนี้อยู่ที่แกทั้งหมด ฉันไม่ได้ถามไถ่เอาความรับผิดชอบจากแก แกกลับว่ายังกล้ามาขอเงินชดใช้จากฉัน ?”
“ยังจะถามไถ่เอาความรับผิดชอบจากฉัน?ฉันว่าสมองของแกคงไม่ได้ถูกประตูหนีบจนเอ๋อแดกแล้วหรอกนะ?”
กู่หงเลี่ยงหัวเราะออกมาเสียงดัง ราวกับว่าได้ยินเรื่องน่าขำที่สุดในโลกแล้วยังไงอย่างนั้น แต่สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นโดยทันทีอีกครั้ง “ฉันจะบอกแกให้ฟังนะ วันนี้ถ้าแกคิดอยากจะออกไปจากที่นี่ ชดใช้เงินให้ฉันอย่างเชื่อฟัง ไม่ก็ให้ฉันหักขาแก แกเลือกเอาเอง!”
“หักขา?”
เย่เทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดถามอย่างอยากรู้ว่า : “งั้นถ้าฉันเลือกที่จะชดใช้เงิน ไม่ทราบว่าต้องชดใช้เงินเท่าไหร่เหรอ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่