เต๊ง!
10 นาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้ง
ติดตามกับเสียงระฆังที่ดังขึ้น นักพรตเต๋าชิงเฟิงก็ได้ยืนขึ้น ก้าวขึ้นหน้ามาสองสามก้าว เบ่งลมปราณส่งเสียงพูดว่า “ขอทุกคนช่วยเงียบก่อนด้วย!”
หลังจากเสียงนักพรตเต๋าชิงเฟิงพูดออกมา สภาพเสียงจอแจแต่เดิมทั่วบริเวณสนามประลองยุทธค่อย ๆ เงียบลง
รออยู่สักพักหนึ่ง เห็นทุกคนต่างไม่ได้ส่งเสียงคุยกันแล้ว นักพรตเต๋าชิงเฟิงผงกหัวแสดงความพอใจ สะบัดแซ่ปัดฝุ่นในมือขึ้น แล้วจึงเอ่ยปากพูดต่อ “ทุกท่าน เมื่อวานนี้พวกเราก็ได้เห็นผู้เข้ารอบเตรียมชิงตำแหน่งผู้นำยุทธภพคนใหม่กันแล้ว ช่างได้ความรู้สึกที่ว่าคลื่นลูกหลังมาแรงจริง ๆ ไม่คิดว่าในการชุมนุมจอมยุทธในครั้งนี้ จะมียอดคนเก่งในวัยหนุ่มมากมายขนาดนี้ นี่คือบุญวาสนาในวงยุทธจักรของประเทศจีนเราจริง ๆ เชื่อว่าการที่มีพวกท่านอยู่ พวกเราจะต้องก้าวเข้าสู่ความสุดยอดอีกรูปแบบหนึ่งแน่นอน!”
เปาะ เปาะ เปาะ !
เสียงปรบมือดังไปทั่วบริเวณ หลังจากเสียงพูดนักพรตเต๋าชิงเฟิงจบลง
หยุดรอพักหนึ่ง นักพรตเต๋าชิงเฟิงแบมือสองข้างทำท่าบอกให้สงบลง เมื่อเสียงปรบมือเงียบสนิทลง จึงพูดต่อไปว่า “เชื่อว่าทุกท่านก็คงอดใจรอกันไม่ไหวแล้ว ข้านักพรตเฒ่าก็จะไม่โอ้เอ้พูดมากละ ต่อไปนี้การชุมนุมยุทธจักรวาระสอง เริ่มขึ้น ณ บัดนี้!”
ปรมาจารย์ไร้เจตสิก ก็ได้เดินขึ้นมาตามจังหวะนั้น พูดเสียงขรึม “ระเบียบขั้นตอนก็เป็นไปตามที่เคยปฏิบัติในปีก่อน ๆ จะประลองกันอย่างไรก็ได้ คิดจะท้าประลองกับใคร ก็เชิญขึ้นเวทีมาพบกันเองได้เลย!”
พูดจบปรมาจารย์ไร้เจตสิกกับนักพรตเต๋าชิงเฟิงก็ถอยกลับเข้าที่ ไม่ได้คิดรีบร้อนจะไปขึ้นเวที
และในขณะนั้นเอง ข้างล่างเวทีก็มีคนขยับตัวคนหนึ่ง มุ่งกระโดดขึ้นบนเวที ในมือถือมีดง้าว ชี้ปลายมีดง้าวไปที่ชายฉกรรจ์รูปร่างหนาปึก พูดเสียงเยือก “หลี่ซัน แกขึ้นมาเลย สิบปีก่อนข้าแพ้แกไป วันนี้ข้าจะขอล้างอายของครั้งที่แล้ว!”
“ไอ้ขี้แพ้ในมือข้า มีหรือข้าจะต้องกลัว!”หลี่ซันสะบัดเสียงออกจมูก พลิกตัวกระโดดข้ามไม้รั้วเวที ในมือก็ถือมีดง้าวเหมือนกัน “จ้าวสื้อ ในเมื่อสิบปีก่อนข้าเอาชนะแกได้ วันนี้ข้าก็จะเอาแกแพ้ไปอีกได้เหมือนกันแหละ!”
ขาดคำจากเสียงพูด ทั้งสองก็ได้เข้าต่อสู้กันแล้ว ดูฝีมือทั้งสองพอฟัดพอเหวี่ยงกันได้ แดนฟ้ากำหนดระดับกลาง ซึ่งคงยังเทียบไม่ได้แม้กระทั่งรุ่นหนุ่ม ประมาณว่าเป็นพวกกลุ่มกะเลวกะลาดหรือพวกพรรคเล็กพรรคน้อย
เวลาสั้น ๆ ช่วงไม่กี่นาที ทั้งสองฝ่ายก็แลกกันไปหลายสิบกระบวนท่า แกซัดมาข้าอัดไป สู้กันได้อย่างดุเดือด ดูมันสนุกกว่าดูพวกเด็กหนุ่มต่อสู้กัน ถึงจะยังไงด้วยเรื่องอายุบ่งให้เห็นอยู่ เรื่องรู้จริงในการใช้อาวุธ การพินิจในการออกกระบวนท่ามีดดาบนั้นไม่ใช่เด็กหนุ่มจะเทียบได้
จนท้ายสุดคนที่ชื่อหลี่ซันก็พลาดไปด้วยหนึ่งกระบวนท่าจบด้วยการแพ้ซ้ำรอยเมื่อสิบปีที่แล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้เป็นการประลองกันบนเวที หากว่าเปลี่ยนเป็นการต่อสู้เอาเป็นเอาตายกัน ใครจะตายในมือใครไม่มีทางรู้จริงได้
หลังจากหลี่ซันลงไปจากเวที ก็มีคนกระโดดขึ้นไปบนเวทีอีกคน เข้าต่อสู้กับจ้าวสื้อ การประลองยุทธบนเวทีก็ร้อนแรงขึ้นเรื่อยไปในการดำเนินต่อ
การเริ่มต้นในครั้งนี้ก็มีประเภทกลุ่มพื้นฐานระดับพรรคเล็กพรรคน้อย พวกเขาก็รู้ตัวเองดีในขีดพลังฝีมือตัวเอง จะไปเทียบกับยอดฝีมือแล้วยังห่างอีกไกล ที่ขึ้นเวทีมานี้ ก็เป็นเพียงมาเป็นส่วนประกอบเรียกน้ำย่อย ถึงยังไงในคนระดับยอดฝีมือ ในใจต่างก็มีความทระนงในศักดิ์ศรีอยู่ ไม่มีทางจะเร่งรีบออกแสดงตัว
ก็เหมือนอย่างปรมาจารย์ไร้เจตสิกกับนักพรตเต๋าชิงเฟิงพูดเปิดงานเสร็จ ก็กลับไปนั่งที่เดิม ไม่ได้ขึ้นเวทีในทันที
ผ่านไปอย่างรวดเร็ว สิบรายการต่อสู้ผ่านไป ยังไม่มีใครสามารถยืนหยัดอยู่ได้ครบถึงสิบรายการ โดยทั่วไปก็ได้แค่สองสามรายการก็ถูกโค่นลง ละจนถึงขณะนี้ พลังฝีมือของคนที่ขึ้นเวทีก็ยิ่งสูงขึ้นสูงขึ้น
บนเวที ประกายดาบเงามีดฉวัดเฉวียน อีกสองคนคู่ต่อสู้กำลังพันตูกันอย่างดุเดือด พลังฝีมือของทั้งสองก็คงอยู่ที่ฟ้ากำหนดระดับกลางขั้นสุดยอด ซึ่งห่างฟ้ากำหนดระดับปลายเพียงแค่อีกก้าวเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่