เขาดิ้นอยู่ในอ้อมกอดของแม่นมซุย แม่นมซุยก็จวนจะอุ้มเขาไว้ไม่ไหวแล้ว
แม่นมซุยดวงตาแดงก่ำ กล่าวขึ้นว่า“องค์หญิง กลับมาอุ้มเจ้าน่องน้อยหน่อยไหมเพคะ นานมากแล้วที่เจ้าน่องน้อยไม่เคยร้องไห้เช่นนี้เลยนะเพคะ”
เฉินเสียนหยุดชะงักอยู่หน้ารถม้า ยังคงอดทนที่จะไม่หันหลังกลับไป สุดท้ายเลยก้าวขึ้นรถม้า แล้วกล่าวกับแม่นมซุยว่า“ปล่อยให้เขาร้องไห้เถิด รอให้เขาร้องไห้จนพอแล้วพบว่าข้าไม่ได้กลับมา ก็จะไม่ร้องไห้อีก”
ที่จริงเธอนั้นอยากจะหันกลับไปมองดู กอดเจ้าน่องน้อยให้มาก แต่ทำอย่างนั้นนอกจากจะทำให้ใจไม่แข็งพอมากขึ้นแล้ว มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
รถม้าเคลื่อนออกจากเมืองหลวง ผ่านเส้นทางอันเพริดแพร้ว ผ่านตึกสูงต่ำที่เพิ่งจะผุดขึ้นเหลืองอร่ามเจิดจรัส แล้วยังผ่านหอชมดาวที่สูงที่สุดของเมืองหลวงด้วย
ทันใดนั้นเฉินเสียนสัมผัสสิ่งเร้าภายนอกได้ เธอเลยเปิดม่านขึ้นแหงนหน้ามองดู
บนหอชมดาวมีเงาสลัวๆของคน
เธอมองเห็นหน้าเขาไม่ชัด แต่ทว่าภายในใจนั้นก็มีความรู้สึกห่วงใยเป็นทุกข์อยู่
ต่อมารถม้าขับเคลื่อนออกจากประตูเมือง เธอหันกลับไปมองอีกครั้ง แล้วไม่มีความลังเลใจอีกเลย
จริงๆ เฉินเสียนออกจากเมืองหลวงมาได้ห้าวันแล้ว ทางใต้มีข่าวคราวใหม่มาอีกครั้ง
ฉินหรูเหลียงยังไม่ตาย และอยู่ในกำมือของกองทัพศัตรูเย่เหลียง
ข่าวคราวนี้ทำให้ราชสำนักต้าฉู่มีความกลัดกลุ้มและความปลื้มปิติผสมกันอยู่
ปลื้มปิติคือในที่สุดท่านแม่ทัพใหญ่นั้นยังรักษาชีวิตไว้ได้ ต่อไปยังสามารถรับใช้ต้าฉู่ได้อย่างต่อเนื่อง แต่ความกลัดกลุ้มคือครั้งนี้ต้าฉู่สูญเสียศักดิ์ศรีอย่างไม่ต้องพูดเลย เย่เหลียงต้องเสนอเงื่อนไขข้อเรียกร้องอย่างโหดเหี้ยมแน่นอน
ทั้งสองเมืองมีความวุ่นวายทางสงครามกันอย่างต่อเนื่อง ล้วนไม่มีประโยชน์สำหรับทั้งสองฝ่ายเลย
กำลังทหารของต้าฉู่ช่วยเหลือสู้ไม่ได้ เย่เหลียงก็เพิ่งจะมีความสุขสงบ ฟื้นฟูบ้านเมืองหลายปีก็ยังไม่ได้รับการคืนสู่สภาพเดิมที่ดีเลย สำหรับทั้งสองเมืองแล้วไม่เหมาะที่จะก่อความวุ่นวายทางสงครามนานเกิน
ครั้งนี้เย่เหลียงยั่วยุเองเลย เพียงแค่อยากเอาเปรียบระบายความเคียดแค้นสักนิดหนึ่ง
สิ่งที่เย่เหลียงเรียกร้องคือ เอาชีวิตของแม่ทัพใหญ่แลกเปลี่ยนกับห้าคูเมืองตรงแถบชายแดนของต้าฉู่
หากว่าต้าฉู่ไม่ยินยอม เช่นนั้นแล้วเย่เหลียงมีแต่จะซ้ำเติม
ไม่ต้องพูดถึงความสามารถของเย่เหลียง ทั้งยังสามารถเสาะแสวงหาพันธมิตรด้วย หากว่าเป่ยเซี่ยถือโอกาสบุกในตอนที่กำลังอ่อนแออยู่ เช่นนั้นแล้วต้าฉู่ก็เป็นอันตรายอย่างมาก
ข่าวคราวนี้ทำให้องค์จักรพรรดิกริ้วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักแบ่งเป็นสองสำนัก แต่ละคนยืดหยัดในข้อความคิดเห็นของตน
มีทั้งฝ่ายที่จะสู้ แล้วก็มีฝ่ายที่ประนีประนอม
มีขุนนางฝ่ายพลเรือนลุกขึ้นออกมาวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสีย แล้วกล่าวขึ้นว่า “กราบทูลองค์จักรพรรดิ เวลานี้ ภายในเมืองเป่ยเซี่ยสงบมาก จ้องมองต้าฉู่ตาเป็นมัน ความสัมพันธ์กับต้าฉู่หยุดชะงักแล้วยังมีพฤติการณ์ที่ชั่วร้าย ประจวบเหมาะกับที่ท้องพระคลังไม่เต็มอีก ไม่สามารถจ่ายสนับสนุนเสบียงทหารและหญ้าเลี้ยงม้าของกองกำลังทหารได้เป็นเวลานาน ขณะนี้กองกำลังทหารตรงชายแดนได้รับความเสียหายยับเยิน ขวัญกำลังใจทหารซบเซา ไม่เหมาะที่จะเปิดศึกอีกจริงๆ มันจะทำให้กลายเป็นการพลีชีพนองเลือดมากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอให้องค์จักรพรรดิคิดทบทวน เจรจาสงบศึกกับเย่เหลียง ยังจะสามารถช่วยชีวิตท่านแม่ทัพไว้ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ปีนั้นท่านแม่ทัพติดตามองค์จักรพรรดิออกศึก ปราบปรามแผ่นดินใต้ฟ้าให้สงบสุข เวลานี้ชีวิตท่านแม่ทัพอยู่ในอันตราย หากว่าองค์จักรพรรดิมองดูไม่สนใจ เกรงว่าราษฎรจะตำหนิพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์จักรพรรดิจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกันเล่า ทั้งกริ้วทั้งไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร
หากพระองค์ไม่สนใจไยดีฉินหรูเหลียง ปล่อยให้เย่เหลียงสังหารฉินหรูเหลียง เลือดของฉินหรูเหลียงจะต้องเป็นขวัญแก่กำลังทหารเย่เหลียงอย่างมาก กลับจะทำให้กำลังใจของทหารต้าฉู่ปั่นป่วนอย่างแน่นอน
เดิมองค์จักรพรรดิคิดว่าเย่เหลียงจะอ่อนแอเหมือนกับเมื่อหลายปีก่อน
ขอเพียงแต่ฉินหรูเหลียงออกศึก จัดการกับเย่เหลียงที่ก่อจลาจลวุ่นวายตรงชายแดนออกไป คืนความสงบชายแดนต้าฉู่ก็เพียงพอแล้ว
แต่คาดไม่ถึง สงครามครั้งนี้เย่เหลียงได้เตรียมการไว้แล้ว อีกทั้งมีวิธีแปลกประหลาดครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้ต้าฉู่รับมือไม่ทัน
ฉินหรูเหลียงองอาจห้าวหาญเชี่ยวชาญการรบตลอดมา องค์จักรพรรดิประหลาดใจจริงๆ ครั้งนี้เขาถูกศัตรูห้ำหั่นลงจากหลังม้าด้วย
ต้องการให้องค์จักรพรรดิชดเชยหากว่าองค์จักรพรรดิชดเชยก็เป็นผู้ที่ด้อยกว่า พระองค์ไม่มีวิธีที่จะยอมรับข้อเสนอเงื่อนไขที่มันเกินไปนี้ได้เลย ดังนั้นเลยกล่าวด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “สารเลว! หรือต้องการให้ข้ายอมเชื่อฟังแล้วเอาห้าคูเมืองนั้นมอบให้กับเย่เหลียงหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...