เฉินเสียนกล่าวว่า “ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่าสาเหตุของการพ่ายแพ้ครั้งนี้ ส่วนใหญ่มาจากแม่ทัพจ้าวผิดเวลาจนเสียแผนและไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง”
คิดๆ ดูแล้ว ก่อนที่ฉินหรูเหลียงจะมาที่นี่ จ้าวเทียนฉีก็เป็นใหญ่ที่สุด ณ ที่แห่งนี้ คนผู้นี้เป็นคนหัวแข็งที่ถือความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ เขาจะยอมปฏิบัติตามคำสั่งของฉินหรูเหลียงด้วยความเต็มใจได้อย่างไร
จากนั้นแม่ทัพโฮ้วจึงเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “นอกจากนี้เรายังสืบหาข่าวจนพบว่าที่เย่เหลียงมีแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งวางกลยุทธ์ก่อนทำสงคราม คนผู้นี้ทั้งกล้าหาญและช่างวางแผน ทั้งยังชำนาญการในการจัดกระบวนทัพที่ยากจะคาดเดา ทำให้ฝ่ายเราเสียหายมิใช่น้อย”
ขณะที่พูดอยู่นั้น ทุกคนก็เดินลึกเข้าไปในอุโมงค์ซึ่งมีโลงน้ำแข็งวางอยู่
เมื่อมองทะลุชั้นน้ำแข็งเข้าไปจะเห็นชุดเกราะชุดหนึ่งซึ่งมีรอยเลือดกระดำกระด่างติดอยู่วางไว้ในนั้น
เฉินเสียนจำได้ทันทีว่านั่นคือชุดเกราะของฉินหรูเหลียง เธอจำได้รางๆ เพราะว่าวันที่ทัพใหญ่ออกศึก เธอไปส่งฉินหรูเหลียงและผูกเสื้อคลุมเข้ากับชุดเกราะของเขาด้วยมือของเธอเอง
ตอนนี้เสื้อคลุมยังอยู่ที่นี่ ทว่าได้รับความเสียหายอย่างหนัก คราบเลือดที่อยู่ด้านบนย้อมน้ำแข็งสีขาวที่อยู่ด้านล่างจนเป็นสีแดง
ฉินหรูเหลียงสวมเสื้อคลุมที่เธอผูกให้กับมือตลอดเวลาเลยหรือ?
แม่ทัพโฮ้วกล่าวว่า “นี่คือซากศพที่ว่านั่น เราพบมันอยู่ใกล้ๆ กับชุดเกราะของท่านแม่ทัพฉิน”
แขนทั้งสองข้างของซากศพนั้นยังคงอยู่ เฉินเสียนบอกความแตกต่างได้ทันทีเมื่อเห็นข้อมือที่ถูกจัดวางไว้อย่างสะอาดเรียบร้อย เธอกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่ท่านแม่ทัพ”
ที่ข้อมือข้างซ้ายของฉินหรูเหลียงมีรอยแผลเป็นที่เธอทิ้งเอาไว้ แต่ที่ข้อมือนี้กลับไม่มี
แม่ทัพโฮ้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ถ้าเช่นนั้นก็เป็นไปได้มากว่าท่านแม่ทัพใหญ่จะอยู่ในมือของเย่เหลียง”
ในเวลาเดียวกันนั้น ฝ่ายเย่เหลียงได้ยินว่าทูตของต้าฉู่มาถึงชายแดนแล้วและจะส่งคนมาเจรจา สามวันต่อมาจึงเชิญทูตไปยังเมืองชายแดนของเย่เหลียงเพื่อเจรจาสันติภาพ
เพื่อแสดงความจริงใจ กษัตริย์แห่งเย่เหลียงจึงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง กองทัพและประชาชนของเย่เหลียงต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมใจอย่างที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นมาก่อน
จ้าวเทียนฉีมาต้อนรับทูตส่งสารของเย่เหลียงด้วยตนเองและด่าทออย่างหยาบคายเมื่ออยู่ต่อหน้าทูต
ในฐานะแม่ทัพ เขาย่อมต้องหวังที่จะเอาชนะเย่เหลียงผ่านการทำสงคราม เมื่อทำสำเร็จชื่อเสียงของเขาจะเลื่องลือไปทั่ว ดังนั้นในสายตาของเขา การที่ต้าฉู่เลือกที่จะเจรจาชดใช้ด้วยเมืองจึงถือเป็นเรื่องที่อัปยศอดสูเป็นอย่างยิ่ง
เขาไม่สนใจว่าในค่ายทหารจะมีนายทหารคนอื่นๆ อยู่ด้วย ในเวลานั้นเขาปาจดหมายเกี่ยวกับการเจรจาสันติภาพในอีกสามวันข้างหน้าที่เย่เหลียงส่งมาให้ลงกับพื้น จากนั้นก็ชักดาบออกมาแล้วตัดออกเป็นชิ้นๆ และสั่งให้คนกุมตัวทูตส่งสารจากเย่เหลียงเอาไว้
จ้าวเทียนฉีเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ไปเจรจาสันติกับโคตรของเจ้าสิ! คิดว่าจับแม่ทัพได้แค่คนเดียวแล้วจะขู่ต้าฉู่ให้ยกเมืองห้าคูเมืองให้รึ ช่างเพ้อฝันยิ่งนัก!"
เมื่อออกมาจากอุโมงค์ใต้ดิน แม่ทัพโฮ้วจึงพาซูเจ๋อและคนอื่นๆ ตรงไปที่ค่ายทหาร อย่างไรเสียหากจะไปเจรจาสันติภาพกับเย่เหลียงก็ต้องมีแม่ทัพติดตามไปด้วยเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของพวกเขา ดังนั้นการไปทำความคุ้นเคยไว้ก่อนจึงเป็นเรื่องที่ควร
เพียงแต่ไม่คิดว่าทันทีที่มาถึงด้านนอกกระโจมแม่ทัพ จะได้ยินเสียงอันโกรธเกรี้ยวของจ้าวเทียนฉีดังลอดออกมา
พอเปิดกระโจมเข้าไปจึงเห็นว่าทูตส่งสารของเย่เหลียงกำลังนั่งคุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น เขาพูดจาสะเปะสะปะขณะที่ชีวิตของเขากำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย จ้าวเทียนฉีไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขาถือดาบจ่อไว้ที่คอของทูตผู้นั้นและตั้งใจจะบั่นคอของเขาทันที พร้อมกันนั้นก็เอ่ยว่า “ข้าอยากจะเห็นนักว่าเย่เหลียงจะทำอะไรแม่ทัพอย่างข้าได้ ต่อให้ไม่มีฉินหรูเหลียง ข้าก็ทำลายเย่เหลียงของพวกเจ้าได้”
ขณะที่กำลังจะลงมือ เฉินเสียนก็ตวาดขึ้นมาทันทีว่า “หยุดนะ!”
จ้าวเทียนฉีหยุดชะงัก คมดาบนั้นสำรวจเข้าที่ผิวหนังบริเวณคอของทูตส่งสารจนมีรอยเลือดซึมออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...