เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีก กดจูบเธออย่างบ้าคลั่ง ยิ่งเคลิบเคลิ้มและยิ่งดุดัน
“ซูเจ๋อ…....”
เฉินเสียนจะขาดอากาศหายใจอยู่รอมร่อ แต่ว่าเธอไม่รู้ว่าควรจะหยุดอย่างไร
เพียงแค่เรียกชื่อของเขา เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าใจอ่อนปวกเปียกจนกระจายแผ่ซ่านถึงทุกอณูร่างกาย
ซูเจ๋อจูบจากขอบริมฝีปากออกมา เธอเงยหน้าขึ้น อ้าปากพูดไม่ออกสักประโยคเดียว
ซูเจ๋อจูบเธอจนทำให้คางของเธอแดงเถือก เฉินเสียนแววตาสดใสงดงามผมของเขาล่วงอยู่บนคอของเธอ ความอุ่นเย็นนั้นเรียบลื่นราวกับผ้าไหมการเข้าจังหวะจะโคนทุกตอนละเมียดละไมอย่างมาก
สุดท้ายซูเจ๋อยังไม่ได้จูบสัมผัสลามไปถึงบริเวณคอของเฉินเสียนเลย
เขาฝังศีรษะอยู่ในแอ่งลำคอของเธอ หายใจหอบกระเส่า หยุดลงช้าๆ
นานมากๆเฉินเสียนก็ยังดึงตัวเองกลับมาไม่ได้ เธอยกมือขึ้น ผ่านข้างเอวของซูเจ๋อ แล้วแขนตะกายขึ้นสัมผัสที่แผ่นหลังของเขา กอดเขาไว้แนบแน่น และพูดพึมพำชื่อเขาเหมือนเดิม
“ซูเจ๋อ ซูเจ๋อ”
ริมฝีปากของซูเจ๋ออยู่ข้างหูของเธอ ลมหายใจอุ่นร้อน“ท่านเรียกข้าเช่นนี้ ข้ายิ่งถลำลึกเกินขอบขีดจำกัดนะ”
เฉินเสียนกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า“ข้าเกรงว่าหากไม่เรียกชื่อของท่าน จะทำให้เปล่งเสียงอื่นที่แปลกประหลาดออกมา”
ซูเจ๋ออ้าปากงับติ่งหูของเฉินเสียน
พริบตาเดียวนั้น ทั้งตัวของเฉินเสียนเกร็งรัดแน่นเสียวซ่าน ราวกับถูกกระแสไฟฟ้าพาดผ่านกระตุ้นอย่างรุนแรง ทันใดนั้นเธอได้ทำเสียงขึ้นจมูกฉอเลาะทันที
บริเวณหูเป็นจุดที่เธอไวต่อความรู้สึกมากที่สุด
จิตใต้สำนึกของเธอทำให้เกาะกวัดที่ไหล่ด้านหลังของเขา แต่ทว่ากลัวจะสัมผัสโดนบริเวณบาดแผลของเขาเลยรีบปล่อยมือออก แล้วใช้เพียงแค่มือจับที่ชุดของเขา
เธอหายใจหอบกระเส่ากล่าวว่า “ซูเจ๋อ ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ บนตัวของท่านมีบาดแผล.......”
“ข้ารู้ ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้”คำพูดแต่ละคำของซูเจ๋อ คลอเคลียบริเวณคอของเธอมันสามารถที่จะกระตุ้นให้เธอสั่นเทาระริกได้อยู่บ้าง
“ในระยะนี้ข้ายิ่งพบว่า ท่านทำให้ข้าบ้าคลั่งอยู่บ้าง ทำให้ข้าระงับจิตใจได้น้อยมาก ความรู้สึกของชายหญิง เป็นสิ่งบนโลกนี้ที่ทำให้คนกระวนกระวายได้”
เขาเงยหน้าขึ้น ประสานสายตากับเธอ แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกคลุมเครือที่ยากจะอธิบาย
เฉินเสียนมองเขา เธอใช้นิ้วมือลูบไล้สัมผัสเส้นผมของเขา แล้วกดนำเขาเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเอง “เช่นนั้นข้าจะกอดท่านให้มากหน่อย”
ช่วงเวลาที่สบายอกสบายใจ ฟังเสียงฝนนอกหน้าต่าง ทั้งสองคนกอดกันเงียบๆ
จนถึงตอนที่ซูเจ๋อกล่าวขึ้นเสียงแผ่วเบาว่า“ท่านเป็นห่วงฉินหรูเหลียงมากใช่หรือไม่?”
เฉินเสียนตอบกลับว่า“เพียงแค่รู้สึกน่าเสียดาย”
“หากท่านรู้สึกเสียดาย ข้าจะรักษามือทั้งสองข้างของเขาให้หายดี และทำให้เขากลับฟื้นคืนสภาพเดิมเหมือนเมื่อก่อน”
เฉินเสียนชะงักงัน กล่าวขึ้นว่า“จริงหรือ?”
เธอรู้ มือทั้งสองข้างของฉินหรูเหลียงพิการแล้ว อยากจะกลับมาเหมือนเดิมอย่างเมื่อก่อนง่ายที่ไหนกันเล่า เธอทำไม่ได้ หมอหลวงทั่วไปก็ทำไม่ได้ แต่หากว่าเป็นซูเจ๋อล่ะก็ เธอเชื่อว่าเขาสามารถทำได้
เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนเฉินเสียนไม่เคยคิดทางด้านนี้มาก่อนเลย
พอเฉินเสียนพูดออกไป ซูเจ๋อก็ไม่ตอบกลับอีก
เฉินเสียนหรี่ตาแล้วยิ้มขึ้นมา ทั้งสองมือกอดแผ่นหลังของเขา แล้วกล่าวขึ้นว่า“ซูเจ๋อ ท่านรู้หรือไม่บนโลกนี้นอกจากท่านแล้ว ไม่มีชายคนที่สองที่ทำให้ข้าสามารถจิตใจวุ่นวายได้อีกแล้วนะ”
ซูเจ๋อถึงได้กล่าวอย่างสบายใจว่า“จริง”
การดำเนินชีวิตหลังจากนั้น ซูเจ๋อกับฉินหรูเหลียงสองคนต่างพักรักษาตัวอยู่ห้องตรงข้ามกันเหมือนเดิม เฉินเสียนเป็นคนเดียวที่ต้มยาของทั้งสองคน ก็ไม่ได้มีขั้นตอนยุ่งยากลำบากเท่าไหร่ เพียงแค่สิ้นเปลืองเวลามากหน่อยเท่านั้นเอง
ฉินหรูเหลียงรู้ว่าตอนนี้ตัวเองใช้ไม่ได้มาก หากว่าไม่รีบรักษาบาดแผล อนาคตยิ่งจะใช้ไม่ได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นเขาเลยสงบจิตสงบใจรักษาบาดแผล และก็ไม่อวดเก่งต่อหน้าเฉินเสียนอีก ทั้งสามคนพักอยู่ที่เรือนเล็กๆนี้ด้วยกันอย่าสงบสุข
แต่ท้องฟ้ามืดครึ้มฝนตกติดต่อกันไม่หยุดเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...