แต่เวลานี้จิตใจของอาณาประชาราษฎร์ไม่มั่นคงหดหู่ และท้องพระคลังว่างเปล่า แค่คิดก็สามารถรู้ได้ถึงจำนวนทหารที่จะมาสมัครแล้ว
ไม่เพียงแต่เมืองหลวง ยังมีแต่ละเมืองใหญ่บริเวณโดยรอบด้วย ราชสำนักใช้อำนาจให้มารับการเกณฑ์ทหาร ความตั้งใจคือช่วงเวลาที่สั้นที่สุดจะสามารถรับสมัครทหารได้จำนวนมาก กองกำลังทหารในเขตใต้ยิ่งมายิ่งมีแรงกำลังการต่อต้านที่ยิ่งใหญ่
การเกณฑ์ทหารกำหนดให้แต่ละครัวเรือนจะต้องมีผู้ชายอย่างน้อยหนึ่งคนเข้าร่วม และหากว่าไม่ยอมทำตาม หนุ่มวัยฉกรรจ์จะถูกจับใส่เพิ่มเติมให้ครบจำนวน
เพราะเรื่องการเกณฑ์ทหารในเมืองหลวง ความเป็นระเบียบเรียบร้อยเปลี่ยนจนกลายเป็นความวุ่นวายอย่างมาก แต่เนื่องจากมีทหารรักษาพระองค์ควบคุมอยู่ อาณาประชาราษฎร์เลยมิกล้าที่จะบุ่มบ่าม
พรุ่งนี้เป็นวันที่ทหารใหม่รวมพลกัน
แสงไฟสลัวในเรือนหลังเล็ก เหมือนกับว่าหญิงเจ้าของบ้านกับชายสามีของนางยังไม่ได้นอน
ชายเจ้าของบ้านก็คาดไม่ถึง ในวันเดียวกันที่ซูเจ๋อพูดคาดไม่ถึงว่ามันจะเป็นความจริง
ชายเจ้าของบ้านเป็นผู้ซ่อมแซมกำแพงเมือง ทหารที่เฝ้าประตูเมืองล้วนรู้จักเขา ดังนั้นไม่ว่าในกรณีใดๆเขาไปไม่ได้ เลยถือโอกาสทำตามที่ซูเจ๋อบอกไปเลย ไปสมัครเองและรับเป็นสองชื่อ บอกว่าเขามาสมัครแทนน้องชายของเขาสองคน พอถึงเวลามีเพียงสองคนที่ไป เบื้องบนไม่ได้ไปสนใจว่าผู้นี้เป็นใครในครอบครัวเขาหรอก
ผู้ใดก็ไม่อยากไปสนามรบแล้วล้มตาย หากฟ้าสางแล้วทั้งสองคนยังไม่มา ชายเจ้าของบ้านก็จะถูกส่งลากไปเป็นทหารใหม่ พอไปแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดมาหรือไม่
โชคดีที่เวลารุ่งสาง หญิงเจ้าของบ้านร้องไห้จนตาบวม ตอนที่เช็ดน้ำตา หน้าเรือนก็มีผู้มาเคาะประตู
นางรีบออกจากห้องไปเปิดประตู เห็นซูเจ๋อกับเฉินเสียนปกคลุมด้วยแสงและหมอกจางๆ ปรากฏตัวหน้าประตูเรือนของนาง
หญิงเจ้าของบ้านร้องไห้ราวกับบ่อน้ำพุ พอทั้งสองคนเข้ามาในเรือน หญิงเจ้าของบ้านคุกเข่าลงที่พื้น ร่ำไห้แล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าข้าทำเช่นนี้อาจจะไม่มีจิตใจที่เมตตา ข้ารับตั๋วเงินของพวกท่านไม่น้อย ไม่ได้ช่วยเหลือพวกท่านเท่าไหร่ และวันนี้ตอนนี้ยังต้องการให้พวกท่านไปเนรเทศเป็นทหารแทนสามีของข้า ......พวกท่านนั่นแหละที่เป็นผู้มีพระคุณของครอบครัวเรา........”
เฉินเสียนพยุงนางลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า “นายหญิงเคยช่วยเหลือลูกของพวกเรา ก็เป็นการช่วยที่ยิ่งใหญ่แล้ว พวกเราก็เพียงแค่ปะปนสวมใส่ชุดทหารออกนอกเมืองเท่านั้นเอง ทุกคนล้วนได้รับสิ่งที่ตัวเองต้องการไป”
ชายเจ้าของบ้านเดินเข้ามาในเรือน พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เข้าไปกองกำลังทหารใหม่ เพื่อออกนอกเมือง แต่หลังจากที่ออกนอกเมืองต้องการหลบหนีจากกองกำลังทหาร หากว่าถูกจับได้ จะถูกสังหารตายคาที่เลยนะ”
“นั่นก็เป็นเรื่องที่หลังจากออกนอกเมือง”เฉินเสียนกล่าว “รอหลังจากพวกเราไปแล้ว ท่านก็อย่าทำงานที่นี่เลย หาสถานที่ใหม่เริ่มต้นชีวิตใหม่สามคนพ่อแม่ลูกเถิด รออนาคตข้างหน้ากองทัพใหญ่มาโจมตีเมืองหลวง อาจจะเป็นอันตรายได้”
ชายเจ้าของบ้านตกตะลึง พวกเขารู้ว่าครั้งนี้ราชสำนักจะต้องรบแพ้หรือ? แต่ก่อนหน้าที่ซูเจ๋อพูดเป็นความจริง ครั้งนี้เขาก็ไม่กล้าซักถามข้อสงสัย และก็ไม่ถามมาก เพียงแค่พยักหน้ารับปาก
ทั้งสองคนเปลี่ยนชุดทหารใหม่ ม้วนผมขึ้นแล้วสวมหมวก และทาใบหน้าให้ดำคล้ำเล็กน้อย มองดูแล้วไม่เตะตาเท่าไหร่นัก
พอถึงสถานที่นัด มีทหารใหม่ที่พยายามที่จะหลบหนี สุดท้ายก็ตายคาที่เหมือนเชือดไก่ให้ลิงดู เหล่าทหารใหม่คนอื่นล้วนตกใจกลัว
ทหารเกณฑ์เมืองหลวงหลายหมื่นคน และทหารเกณฑ์แต่ละเมืองใหญ่หลายหมื่นคน ซึ่งรวมดูแล้วกองกำลังทหารราวแสนคนได้ แต่ทหารเหล่านี้ไม่เคยมีประสบการณ์การฝึกฝนเลย จะให้ไปสู้รบ สำหรับพวกเขาแล้วถือเป็นเรื่องที่ทารุณมาก
เฉินเสียนกับซูเจ๋อถูกจัดเข้ากองกำลังกลุ่มเล็กห้าถึงสิบคน หลังจากที่รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแบบลวกๆแล้ว นายทหารได้กล่าวคำสาบานสามเหล่าทัพแล้ว จากนั้นได้เปิดประตูเมืองออก กองกำลังทหารต่างทยอยกันเดินออกนอกเมืองหลวง
ทั้งสองคนเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน ในที่สุดก็ออกมานอกประตูเมืองจนได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...