พอเด็กคนนั้นได้ยิน ก็รีบกลับไปทำการบ้านที่ห้องเลย
หญิงเจ้าของบ้านดึงสติกลับมาแล้วยิ้ม กล่าวว่า “พวกท่านอย่าถือสาเลยนะ ตั้งแต่ครั้งก่อนหลังจากที่นายท่านเคยชี้แนะลูกชายของข้า ก็ได้ยินเขาพูดพร่ำถึงนายท่านตลอดเวลา สอนดีกว่าท่านอาจารย์ที่สำนัก เมื่อครู่ข้าก็พูดเกทับเขา”
ซูเจ๋อกล่าวอย่างราบเรียบว่า “มิเป็นไร อีกสักครู่หากมีเวลา ข้าสามารถดูได้”
หญิงเจ้าของบ้านยิ้มไม่หุบ กล่าวถามว่า “เรื่องราวของพวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง? คนในเรือนยินยอมให้พวกท่านคบหากันหรือยัง?”
เฉินเสียนเม้มริมฝากปาก แล้วกล่าวว่า “ยังเลย ครั้งนี้ข้ากับเขาหนีตามกันแล้ว อยากออกนอกเมือง”
หญิงเจ้าของบ้านกล่าวว่า “อ้อ ใช่แล้ว ครั้งก่อนมีแม่นมผู้หนึ่งอุ้มเด็กน้อยมาหาพวกข้า ต้องการที่จะออกนอกเมืองไปหาหมอในคืนนั้นเลย ลูกของพวกท่านหรือไม่? ตอนนี้อาการเขาดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่?”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ที่จริงตอนนี้เขาพักผ่อนอยู่นอกเมืองอย่างสงบ ข้าก็ไม่ได้พบหน้า ภายในใจร้อนรนอย่างมาก แทบอยากจะไปอยู่ข้างกายของเขาทันที”
หญิงเจ้าของบ้านกล่าวว่า“อย่างนี้นะ ลูกป่วย ผู้ที่ร้อนใจที่สุดคือท่านพ่อท่านแม่ ตอนนี้เมืองหลวงบังคับใช้กฎอัยการศึก อย่าพูดว่ายามค่ำคืนออกจากเมืองเลย แม้แต่ช่วงกลางวันก็ยากลำบากมาก”
นางสีหน้าลึกลับอึมครึม กล่าวอีกว่า “ได้ยินชายที่เรือนข้าบอกว่า คล้ายดั่งมีการสู้รบเกิดขึ้น”
เฉินเสียนไตร่ตรองแล้วกล่าวว่า “หากว่าข้ายืนยันที่จะออกจากเมืองไปหาลูกชาย นายหญิงสามารถช่วยได้หรือไม่?”
หญิงเจ้าของบ้านทอดถอนหายใจออกมา กล่าวว่า“หากว่าข้าช่วยพวกท่านได้ ข้าช่วยแน่ แต่ตอนนี้ไม่รู้สรุปว่าสถานการณ์เป็นยังไง หากชายที่เรือนของข้าทำไม่ได้ ขอให้พวกท่านได้เตรียมใจไว้ด้วย”
เฉินเสียนพยักหน้า “ขอบใจนายหญิงมาก ไม่ว่าอย่างไร พวกท่านช่วยข้าส่งลูกชายออกนอกเมือง ข้าซาบซึ้งน้ำใจอย่างมาก”
เฉินเสียนกับซูเจ๋อรออยู่ในเรือนพักหนึ่ง หลังจากที่ชายเจ้าของบ้านกลับมาได้ยินเรื่องนี้ ขมวดคิ้วแน่นแล้วกล่าวว่า “ข้าจะเกลี้ยกล่อมพวกท่านว่าอยู่ในเมืองค่อนข้างดีกว่า ตอนนี้ด้านนอกเทียบกับเมืองหลวงแล้วยิ่งไม่สงบนะ”
หญิงเจ้าของบ้านกล่าวว่า “ลูกของพวกเขาอยู่นอกเมือง พวกเขาจะสงบจิตสงบใจอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างไร”
ชายเจ้าของเรือนกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่คิด แต่ตอนนี้ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้ ทหารยามที่ประตูเข้มงวด ทั้งหมดรับช่วงจากทหารรักษาพระองค์งานการซ่อมแซมกำแพงเมืองยังต้องหยุดเป็นการชั่วคราว หากว่านำพวกท่านออกไปอีก พวกเขาก็ไม่มีทางผ่อนผัน เปิดประตูเมืองกลางคืน ทำได้ไม่ดีก็มีอันตรายต่อการตัดศีรษะ ”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ไม่ใช่ต้องสู้รบแล้วหรือ ราชสำนักไร้ทหาร ระยะใกล้ๆนี้น่าจะเกณฑ์ทหาร หากเกณฑ์ทหารแล้วจำนวนคนไม่พอ อาจจะใช้อำนาจให้ไปเกณฑ์ทหารได้”
เขาเงยหน้าแล้วประสานมือคารวะชายเจ้าของบ้านว่า “ถึงวาระนั้นหากได้รับการช่วยเหลือพี่ชายช่วยพวกข้าสมัครสองชื่อก็ได้ เช่นนี้ก็หลีกเลี่ยงที่พี่ชายจะถูกความหายนะให้ไปเกณฑ์ทหารแล้ว”
ใช้อำนาจบีบบังคับไปเกณฑ์ทหาร ไม่ว่าจะท่านยินยอมหรือไม่ ถูกลากไปสนามรบเป็นตายนั้นเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
ชายเจ้าของบ้านไม่เชื่อ กล่าวว่า “ราชสำนักจะไม่มีทหารได้อย่างไร ยังมีทหารรักษาพระองค์หนึ่งแสนคนนะ”
ซูเจ๋อไม่พูดมาก ตอนพบค่ำตอนที่พาเฉินเสียนออกจากเรือนนั่น
เฉินเสียนมองสีหน้าเรียบเฉยเขา แล้วกล่าวว่า “ท่านรู้ครั้งนี้พวกเราจะพบอุปสรรคใช่หรือไม่?”
ซูเจ๋อยิ้มแล้วใสซื่อกล่าวว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไร”
แต่ดวงตาสองคู่ของเขานั้น ซ่อนด้วยความกำลัง สับสนวุ่นวาย คนทั่วไปไม่สามารถมองทะลุปรุโปร่ง
เฉินเสียนกระตุกริมฝีปากกล่าวว่า “เช่นนั้นถึงอย่างไรท่านก็ต้องรู้ว่าทหารรักษาพระองค์คุ้มกันประตูเมืองอยู่ ผู้ที่ทำการซ่อมกำแพงเมืองนั้นไร้หนทางที่จะเปิดประตูหลังช่วยเรา ท่านมาหาเขาเพื่อที่จะให้เขาสมัครเข้าร่วมเกณฑ์ทหารให้พวกเรา”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...