งั้นก็ถูกแล้ว แม่ทัพโฮ้วกระจ่างราวกับกระจกใส เกรงว่าช่วงที่อยู่ในค่ายทหาร องค์หญิงกับใต้เท้าซูนอนด้วยกันทุกค่ำคืน ทั้งสองยังบุกป่าฝ่าดงมาด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นหนุ่มเป็นสาว หากไม่เกิดความรู้สึกดีงามถึงจะแปลก
แม่ทัพโฮ้วหัวเราะดังก้อง พลางกล่าวว่า "พูดถูก ใต้เท้าซูคุ้นเคยกับค่ายทหารกว่าใครอื่น หลายปีก่อนปลอมตัวอยู่ในกองทหารของกษัตริย์ไหวหนานหลายเดือนก็ไม่มีใครพบพิรุธ ตอนนั้นยังสังหารนายทหารของกษัตริย์ไหวหนานไม่น้อย"
ซูเจ๋อกล่าวเสียงราบเรียบ "แม่ทัพโฮ้วคงเมาแล้วเป็นแน่ เอ่ยถึงเรื่องในอดีตทำไม"
แม่ทัพโฮ้วกล่าว "ถึงแม้จะเป็นเรื่องในอดีต แต่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ข้าก็ยังคงจดจำไม่ลืมเลือน ผ่านไปหลายปีในที่สุดท่านก็สามารถพลิกสถานการณ์ได้สำเร็จ"
แม่ทัพโฮ้วถามเฉินเสียนว่า "เรื่องที่เกี่ยวกับใต้เท้าซูพวกนั้น องค์หญิงคงยังไม่รู้กระมัง องค์หญิงจะรับฟังไหมพ่ะย่ะค่ะ?"
เฉินเสียนหรี่ตากล่าว "มีหลายเรื่องที่ข้าไม่รู้จริงๆ แม่ทัพโฮ้วลองเล่ามาเลย"
เธอรู้สึกสงสารซูเจ๋อมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าเขาผ่านพ้นช่วงเวลาอันมืดมิดมาได้เช่นไร
ยามนี้ฟังเป็นเรื่องเล่าในฐานะคนอื่น คงจะยิ่งกระจ่างมากขึ้น
เธออยากรู้
แม่ทัพโฮ้วกล่าวว่า ตอนนั้นกองทัพกษัตริย์ไหวหนานกับราชสำนักจับมือกับสู้รบกับเย่เหลียง ซึ่งอิทธิพลค้ำฟ้า กษัตริย์ไหวหนานในตอนนั้นมีความทะเยอทะยานสูง พอชิงชัยกับเย่เหลียงสำเร็จ เขาก็กลับไปรบทางตอนเหนือทันที
ต่อมากษัตริย์ไหวหนานสิ้นพระชนม์ในการศึก รัชทายาท ซึ่งก็คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบันขึ้นครองราชบัลลังก์ต่อ และซูเจ๋อก็แฝงกายอยู่ในค่ายทหาร เพื่อหาโอกาสเข่นฆ่า
ยามนั้นซูเจ๋อยังเป็นยุวชน คนในวัยเดียวกันยังกระฉับกระเฉงร่าเริง ทว่าเขากลับต้องเผชิญกับคมดาบเปื้อนโลหิต โดยไม่รู้ว่าจะมีพรุ่งนี้ไหม
แม่ทัพโฮ้วเล่าเป็นพูดน้ำไหลไฟดับ ภายใต้แสงสลัวของตะเกียง ซูเจ๋อยังคงเรียบเฉยดั่งสายลมบางเบาและพระจันทร์อันสดใส
ไอน้ำชาสีน้ำตาลข้างกายเขากำลังล่องลอยขึ้นมา ถ้วยชาสีขาวบริสุทธิ์เข้ากับนิ้วมือหมดจดของเขาเหลือเกิน
ประหนึ่งซูเจ๋อกำลังรับฟังเรื่องเล่าประวัติของผู้อื่นอยู่ แม่ทัพโฮ้วเล่าได้ถึงพริกถึงขิงโดยแท้ ได้บรรยากาศดื่มชาของเขายิ่ง
เฉินเสียนฟังจนเคลิ้มตามโดยไม่รู้ตัว สีเพลิงเหลืองๆกับบุรุษรูปงามผู้นี้ ทำให้รู้สึกมึนเมากว่าเหล้าในมือเป็นไหนๆ
ในสมองเฉินเสียนโผล่ภาพฉากหนึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ในภาพนั้น ทหารนายอื่นกำลังหลับไหลจากการเหนื่อยล้ามาทั้งวัน ส่วนเขากลับไม่อาจผ่อนคลาย ต้องปฏิบัติภารกิจในยามวิกาล
เธอเคยเห็นมากับตาในค่ายทหาร ซูเจ๋อเข้าออกได้อย่างกับล่องหน ไร้สุ้มเสียงราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงรอเขา ไม่ว่าคืนนั้นเขาจะกลับดึกแค่ไหน
เรื่องเล่าในปากแม่ทัพโฮ้วตอนนั้น เธอยังไม่ได้อยู่ข้างกายเขา เวลาที่เขาต้องบุกรุกไปเบื้องหน้าอย่างห้าวหาญผู้เดียว ไม่รู้จะโดดเดี่ยวเพียงใด
ถึงจะยากเย็นแสนเข็ญปานใด เขาก็ไม่เคยหวาดหวั่นท้อแท้
เหลียนชิงโจวถามเรื่องต่อจากนั้น
แม่ทัพโฮ้วกล่าวว่า ตอนนั้นซูเจ๋อเกือบสำเร็จแล้วเชียว ไม่เพียงแต่ทำให้รัชทายาทของกษัตริย์ไหวหนานบาดเจ็บสาหัส ยังสังหารแม่ทัพใหญ่ได้อีกหลายคนด้วย
ซึ่งซูเจ๋อเองก็บาดเจ็บสาหัสเช่นกัน หลบซ่อนตัวในค่ายทหารไปทั่ว จากนั้นก็สู้ฝ่าฝูงชนออกมาคนเดียว โดยราชทายาทของกษัตริย์ไหวหนานส่งคนไปหลายชุด ทว่าก็ไม่อาจปลิดชีพเขาได้
แม่ทัพโฮ้วดื่มเหล้าหนึ่งถ้วยอย่างภาคภูมิ กล่าวว่า "วัยหนุ่มเป็นช่วงกล้าหาญชาญชัยก็คือแบบนี้แหละ ทำให้ข้าที่มีประสบการณ์ในสนามรบอย่างโชกโชนยังรู้สึกละอายใจ
ยามนั้นรัชทายาทพลาดพลั้งไปแล้ว หากตอนนั้นรัชทายาทมีความสามารถเพียงพอก็ควรกำจัดคนอย่างใต้เท้าซูให้สิ้นซาก ไม่เช่นนั้นหากภายภาคหน้ามีโอกาสเมื่อใด ต้องกลับมาใหม่เป็นแน่"
ซูเจ๋อกล่าว "แม่ทัพโฮ้ว ท่านดื่มมากไปแล้ว"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...