ข้าคือหงส์พันปี นิยาย บท 539

สรุปบท บทที่ 539 ข้าจะไปต้อนรับที่ประตูเมือง เลี้ยงต้อนรับยามท่านกลับมา: ข้าคือหงส์พันปี

สรุปตอน บทที่ 539 ข้าจะไปต้อนรับที่ประตูเมือง เลี้ยงต้อนรับยามท่านกลับมา – จากเรื่อง ข้าคือหงส์พันปี โดย เฉียน หราน จวิน เสี้ยว

ตอน บทที่ 539 ข้าจะไปต้อนรับที่ประตูเมือง เลี้ยงต้อนรับยามท่านกลับมา ของนิยายInternetเรื่องดัง ข้าคือหงส์พันปี โดยนักเขียน เฉียน หราน จวิน เสี้ยว เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

เฉินเสียนกล่าวว่า “พวกท่านต่างพยายามแสวงหาสิ่งที่ดีให้ข้า ปกป้องข้า แล้วจะให้ข้ารับผิดชอบเพียงน้อยนิดได้อย่างไร ซูเจ๋อ ท่านไม่คิดอย่างนั้นหรือ นี่คือเหตุผลที่ข้ายืนกรานที่จะไป”

ในที่สุดซูเจ๋อก็กระซิบว่า “ถึงอย่างไรก็คงรั้งท่านไว้ไม่ได้ ข้าสัญญา รออีกสองวันเมื่อถึงเวลาต้องเคลื่อนทัพ ถ้ายังไม่มีผู้ที่เหมาะสม ข้าจะนำทัพไปทางเหนือกับท่าน”

เฉินเสียนเอี้ยวตัวกลับไปมองเขาด้วยแววตาที่สดใส “แต่ข้าไม่ชนะท่านนะ”

ซูเจ๋อบอกว่า “ข้ายอมให้ท่านชนะ ถ้าข้าไม่อ่อนข้อให้ ท่านคงไม่มีโอกาสเลยแม้แต่น้อย”

“ท่านสัญญากับข้าแล้ว อย่ามาเปลี่ยนใจทีหลังละ”

“ข้าไม่เคยเปลี่ยนใจ”

เฉินเสียนโน้มตัวไปจุมพิตที่แก้มของเขาหนึ่งที “ท่านใจดีจังเลย สามีของข้า”

ซูเจ๋อขมวดคิ้วและอมยิ้มเล็กน้อย

สองวันต่อมา แม่ทัพโฮ้วจัดกองกำลังทหารเตรียมเคลื่อนพลไปทางเหนือของเมืองหลวง ส่วนเฉินเสียนก็เตรียมตัวพร้อมที่จะออกเดินทางไปกับทั้งสามเหล่าทัพ

แต่ยังไม่ทันยกธงเคลื่อนพล ทันใดนั้นก็มีเสียงเกือกมากดังมาจากนอกค่าย เหล่าทหารทยอยเปิดทาง ปล่อยให้ผู้ที่ควบม้าพุ่งตรงไปยังค่ายใหญ่

เฉินเสียนออกมาจากกระโจมในขณะที่แสงอาทิตย์เรืองรองย้อมแผ่นฟ้าและส่องลงมาต้องหยาดน้ำค้าง เธอเห็นบุรุษผู้หนึ่งพลิกตัวลงมาจากหลังม้าด้วยท่าทีที่เบิกบานและกำลังเดินตรงมาทางนี้

แม่ทัพโฮ้วรีบเข้ามาดูทันทีเมื่อได้ยินข่าว เขาหัวเราะเสียงดังอย่างดีใจและตบบ่าชายผู้นั้นอยู่หลายที “แม่ทัพฉิน ไม่พบกันนานเลย สบายดีไหม!"

ฉินหรูเหลียงตอบมาว่า “แม่ทัพโฮ้ว ไม่ได้พบกันนาน”

เฉินเสียนไม่ได้มองผิดไปจริงๆ ผู้ที่ควบม้าโดยไม่หยุดพักจนมาถึงในยามรุ่งสางคือฉินหรูเหลียง เขาอยู่ในอาภรณ์สีเข้มซึ่งดูทะมัดทะแมง รูปร่างสูงใหญ่ทรงพลัง รูปงามและองอาจผึ่งผาย

แม่ทัพโฮ้วถามว่า “มือของท่านดีขึ้นหรือยัง”

ฉินหรูเหลียงขยับข้อมือเล็กน้อย เขามองไปทางเฉินเสียนกับซูเจ๋อและกล่าวว่า “หายแล้วละ โชคดีที่ได้ใต้เท้าซูช่วยรักษา”

ซูเจ๋อกล่าวว่า “แม่ทัพโฮ้ว โปรดหารือกับแม่ทัพฉินเกี่ยวกับสถานการณ์ของเหล่าแม่ทัพดูเถิด จะเหมาะสมหรือไม่หากจะให้เขานำทัพไปต่อสู้กับกองทัพจากเป่ยเจียง”

แม่ทัพโฮ้ว “เหมาะมาก! ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าเขาอีกแล้ว!”

ดังนั้นแม่ทัพโฮ้วจึงเล่าสถานการณ์ล่าสุดให้ฉินหรูเหลียงฟังอย่างคร่าวๆ ฉินหรูเหลียงเข้าใจสถานการณ์ในสนามรบได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่คำพูดแค่ไม่กี่ประโยคเขาก็วิเคราะห์สถานการณ์ได้ทันที

ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่เขาก็เหมาะกับสนามรบเสมอ

ฉินหรูเหลียงกระชับแขนเสื้อที่ข้อมือและเดินตรงไปหาเฉินเสียน เขายืนอยู่ตรงหน้าเธอ เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่ไม่ได้พบกัน เธอไม่ได้แสร้งทำเป็นโง่เขลาจนทำให้เขาเจ็บปวดหัวใจเหมือนตอนที่อยู่ในพระราชวังอีกแล้ว เธอในตอนนี้ยังคงมีสติสัมปชัญญะและนิ่งสงบเหมือนเช่นในวันวาน

แค่ได้เห็นว่าเธอยังปลอดภัยนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับฉินหรูเหลียง

ดูเหมือนเขาจะเรียกร้องอะไรจากเธอน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อการเวลาแปรผัน จนถึงตอนนี้ ขอเพียงแค่เห็นว่าเธอสบายดี เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

ทว่าตั้งแต่วันที่เธอย้ายออกไปจากเรือน ย้ายออกไปจากสวนสระวสันตฤดู ความรู้สึกที่สะสมอยู่ในใจก็มีแต่จะเพิ่มขึ้น เพียงแต่ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่จบสิ้นไปแล้วสำหรับคนนอก

ทั้งสองรู้สึกทอดทอนใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

ฉินหรูเหลียงเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนว่า “พระองค์สบายดีก็ดีแล้ว ในที่สุดเขาก็พาท่านออกมาจากที่นั่นจนได้”

เฉินเสียนเงียบไปครู่หนึ่งและกล่าวอย่างจริงใจว่า “ฉินหรูเหลียง ขอบคุณนะสำหรับเรื่องเจ้าน่องน้อย”

“องค์หญิงไม่จำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ” ฉินหรูเหลียงพูดพลางสะบัดชายเสื้อและคุกเข่าลง ชันขาข้างหนึ่งขึ้นและประสานมือคารวะ “ขอองค์หญิงโปรดประทานอนุญาตให้ข้ากระหม่อมออกศึกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ในเวลากลางดึก กองทหารจากชายแดนตะวันตกซึ่งเฝ้าอยู่ที่ประตูเมืองไม่กล้าผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย

ในคืนนั้นเฉินเสียนและเหล่าทหารหาญมัดหุ่นฟางไว้จำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นจึงใช้ประโยชน์จากความมืดนำหุ่นฟางออกมาวางไว้ที่แนวหน้า

ทหารที่ป้องกันเมืองมองเห็นอะไรไม่ชัดเจนนัก เมื่อเห็นเงาของกลุ่มคนก็พาลนึกทันทีว่านั่นคือศัตรูที่บุกมาโจมตี เมืองแห่งนี้ง่ายต่อการป้องกันและยากต่อการโจมตี เมื่อแม่ทัพผู้ป้องกันเมืองออกคำสั่ง ลูกธนูก็ลอยลิ่วลงมาราวกับห่าฝน ทยอยทะลุลงมาบนหุ่นฟาง

จนกระทั่งทหารเหล่านั้นยิงธนูออกมาแล้วจึงพบว่าเงาเหล่านั้นไม่ล้มลงเลย หลังจากนั้นถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าพวกเขาถูกหลอก

ในเวลานี้ไม่มีลูกธนูอีกแล้ว เฉินเสียนออกคำสั่ง หลังจากนั้นมือธนูนับสิบนายจึงเตรียมพร้อมตอบโต้ด้วยลูกธนูที่ฝ่ายศัตรูยิงมา

ตอนนี้เอง แสงเพลิงที่ประตูเมืองก็ลุกโหมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

กองกำลังซึ่งนำโดยแม่ทัพโฮ้วคอยซุ่มซ่อนอยู่ความมืดของยามราตรี คอยเฝ้าดูเวลาที่ธงศึกจะถูกสะบัดขึ้น ทันใดนั้นเสียงตะโกนก็ดังเลือนลั่น ขณะที่ฝ่ายศัตรูกำลังโรมรันพันตูอย่างโกลาหล พวกเขาก็พยายามเต็มที่เพื่อโจมตีเมือง

ในฐานะแนวป้องกันสุดท้ายของเมืองหลวง คูเมืองแห่งนี้จึงมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่สูงชัน ง่ายต่อการป้องกันและยากต่อการโจมตี กองทัพจากพรมแดนตะวันตกอาศัยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ประวิงเวลาออกไป

แต่อย่างไรก็ตาม กองทัพจากพรมแดนตะวันตกเทียบไม่ได้เลยกับกองทัพจากทางใต้ ไม่ว่าจะเป็นด้านจำนวนหรือคุณภาพของทหาร พวกเขาถอนกองกำลังมาจากซีอวี่ซึ่งเป็นการเดินทางที่ห่างไกลและหนทางก็ยากลำบาก จึงค่อนข้างเหนื่อยล้ามาแต่เดิม ยิ่งเมื่อเสบียงอาหารภายในเมืองขัดสน ขวัญกำลังใจของทหารก็ยิ่งไม่มั่นคง แม้ว่าจะมีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่ประวิงเวลาให้นานขึ้นเท่านั้น

ยิ่งยืดเวลาออกไปก็ยิ่งทำให้พวกเขาเสียเปรียบ

ยุทธการนี้ดำเนินไปจนถึงรุ่งสาง แสงอาทิตย์ฉายขึ้นทางทิศตะวันออกและส่องสว่างลงมาบนแผ่นดินสีแดงฉาน

ประตูคูเมืองถูกทำลาย ซากศพทหารทั้งสองฝ่ายกองสุมเป็นภูเขา

นี่น่าจะเป็นการสูญเสียที่หนักหนาสาหัสที่สุดตั้งแต่กองทัพจากทางใต้เคลื่อนทัพขึ้นมาทางเหนือ ครั้งนี้ควรจะนับได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่แท้จริงระหว่างสองกองทัพ

โชคดีที่ในที่สุดกองกำลังทหารจากทางใต้ก็ทำลายประตูเมืองและยึดเมืองได้ กองทัพจากพรมแดนตะวันตกซึ่งพ่ายแพ้มีแม่ทัพและทหารที่เหลือรอดเพียงไม่กี่คน พวกเขาถอยร่นไปตลอดทาง จนในที่สุดก็ล่าถอยเข้าไปในเมืองหลวง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี