กองกำลังทหารรักษาพระองค์นับแสนนายในเมืองหลวงตั้งกำลังคุ้มกันไว้รอบเมืองอย่างแน่นหนา
ในเวลานี้ที่เมืองหลวงย่างเข้าสู่สารทฤดูแล้ว ช่วงที่ร้อนที่สุดของปีผ่านพ้นไปแล้ว ทว่าเหมือนจะยังมีกลิ่นอายของนรกบนดินลุกลามไปทั่วทุกหนแห่ง แม้สายฝนแห่งสารทฤดูจะตกลงมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่อาจชะล้างความขุ่นมัวและกลิ่นคาวเลือดที่ไหลนองตลอดวันตลอดคืน ณ สถานที่แห่งนี้ไปได้
กองทัพใหญ่ตั้งค่ายรายล้อมรอบเมืองเพื่อพักเสริมกำลังชั่วคราว
เนื่องจากกองกำลังทหารรักษาพระองค์เฝ้ารักษาการที่เมืองหลวงเพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพใหญ่บุกเข้าไป ประชาชนหลายหมื่นคนที่อยู่ในนั้นจึงออกมาไม่ได้
ตอนนี้ถึงเวลาชี้เป็นชี้ตายและเหลือเพียงการต่อสู้ครั้งสุดท้าย กองทัพใหญ่ปราศจากความรีบร้อน เฉินเสียนและซูเจ๋อจึงมีเวลาว่าง วิ่งไปที่ค่ายผู้บาดเจ็บพร้อมกับทหารเสนารักษ์ที่มีเพียงไม่กี่คนในกองทัพเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของทหาร
อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยปรากฏว่ามีผู้มีอำนาจคนใดที่ละทิ้งศักดินาและความถือตัวเช่นเธอ
ทหารในค่ายผู้บาดเจ็บจึงพากันตกตะลึงและปลื้มปีติเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่คิดเลยว่าองค์หญิงจะมารักษาอาการบาดเจ็บของพวกเขาด้วยพระองค์เอง
ทหารในค่ายทุกคนต่างรู้ว่าองค์หญิงก็ไม่ต่างอะไรกับนายทหารอย่างพวกเขา พระองค์เข้าร่วมในสนามรบได้ ฆ่าฟันศัตรูได้ ทั้งยังมีกลยุทธ์มากมายในการบุกยึดคูเมือง ไม่ใช่สตรีสูงศักดิ์ผู้งามหยาดเยิ้มที่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องเลยจนนิดเดียว
เธอรักษาอาการบาดเจ็บให้ทหารด้วยความชำนาญ พันแผลได้อย่างถูกต้องราวกับคุ้นชินกับการเห็นบาดแผล ทั้งยังมีความรู้ทางด้านการแพทย์เป็นอย่างดี
ทหารคนถัดไปได้รับบาดเจ็บที่ขาและมีชิ้นเนื้อบางส่วนที่ถูกตัดออก ตอนนี้เลือดกำลังไหลนองออกมาอย่างน่าสยดสยอง
เฉินเสียนใช้ไฟลนเข็มเงินที่อยู่ในมือ จากนั้นจึงแทงเข็มลงไปที่จุดฝังเข็มบนขาเพื่อห้ามเลือด เธอทำความสะอาดบาดแผลอย่างชำนาญ เสร็จแล้วจึงโรยยาจินฉวงซึ่งเป็นยาผงบรรเทาอาการเจ็บ ถามเขาอย่างเป็นกันเองว่า “เจ็บหรือไม่”
ทหารผู้นั้นตกใจจนตัวแข็งทื่อตลอดกระบวนการรักษา
เมื่อเฉินเสียนเงยหน้าชำเลืองมอง เธอจึงเห็นว่าเขาหัวแตก บนใบหน้ามีรอยเลือดไหลลงมาเป็นทางจนทำให้หน้าของเขาเลอะไปกว่าครึ่ง
แต่เฉินเสียนยังคงจำเขาได้และเอ่ยอย่างแปลกใจว่า “เกาเหลียง?”
เกาเหลียงฉีกยิ้มมุมปากและกล่าวว่า “เป็นพระกรุณาธิคุณที่องค์หญิงยังจำเกล้ากระหม่อมได้”
หลังจากจัดการแผลที่ขาเสร็จแล้ว เฉินเสียนจึงพันแผลที่หัวของเขา เกาเหลียงเห็นเฉินเสียนอยู่ใกล้เช่นนี้ก็ตกตะลึงตัวแข็งทื่อ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าความทุกข์ทรมานที่ประสบมาอย่างยาวนานกลายเป็นสิ่งที่คุ้มค่า
เขาได้เลื่อนขั้นจากนายทหารเป็นหัวหน้ากองพล จากหัวหน้ากองพลเป็นหัวหน้ากองพัน ทำได้เพียงยืนเงยหน้ามองเธอจากในมุมที่ต่ำต้อย
เกาเหลียงไม่คิดเลยว่าภาพที่เฉินเสียนเผาค่าย สังหารทหารและช่วยชีวิตเขาในคืนนั้นจะกลายเป็นภาพประทับตรึงตราอยู่ในใจของเขาในเวลาต่อมา
เฉินเสียนกล่าวว่า “ข้าเคยบอกแล้วว่าในค่ายทหารนั้นทรมาน ชีวิตอาจหล่นหายไปได้ทุกเมื่อ เจ้านึกเสียใจหรือไม่”
เกาเหลียงคิดว่าถ้าเขานึกเสียใจ เขาคงไม่รอมาจนถึงตอนนี้ ตอนที่เฉินเสียนมาพันผ้าที่บาดแผลให้เขา
เกาเหลียงตอบว่า “เกล้ากระหม่อมจำได้ และไม่คิดจะละทิ้งกลางทาง”
เฉินเสียนกระตุกยิ้มมุมปาก เธอตบไหล่เขาและกล่าวว่า “ดีมาก ไม่เลวเลย ร่างกายยังล่ำสันขึ้นด้วย เพียงแต่เจ้าบาดเจ็บที่ขา หลังสิ้นสงครามคงต้องพักฟื้นอีกระยะหนึ่ง หวังว่าเจ้าจะฟื้นตัวทันการทดสอบฝีมือการต่อสู้ในการสอบขุนนางปีหน้านะ”
เกาเหลียงชะงักและกล่าวว่า “เกล้ากระหม่อมจะไม่ทำให้องค์หญิงผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ!"
ต่อมาเฉินเสียนจึงไปหาแม่ทัพโฮ้วเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องของเกาเหลียง แม่ทัพโฮ้วกล่าวว่าเขาฝึกฝนการต่อสู้อย่างขยันขันแข็งและก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง นอกจากนี้ทุกครั้งที่ออกรบเขายังอาสาเป็นแนวหน้าทุกครั้ง แม้ว่าจะยังเป็นเพียงพลทหารเล็กๆ แต่ในภายภาคหน้าจะต้องปลุกปั้นเขาได้อย่างแน่นอน
แม่ทัพอู่โหวส่วนมากล้วนเคยผ่านความทุกข์ยากมาในค่ายทหาร พวกเขาต้องพุ่งเข้าใส่แนวหน้าของศัตรู ต่อสู้อย่างห้าวหาญ ต้องสั่งสมประสบการณ์ และใช้ความสามารถซื้อใจประชาชน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...