ซูเจ๋อก้มลงมองเจ้าตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า ตัวสั้นนิดเดียวเอง เขาจึงโน้มตัวลง เอื้อมแขนข้างหนึ่งอุ้มเขาขึ้นมา เจ้าน่องน้อยเหน็บขาเข้าเอวของเขาอย่างมั่นคง
เมื่อซูเจ๋อเป็นคนเริ่มเข้าหาก่อน แม้เจ้าภาระตัวน้อยออกจะเคอะเขินแต่เขาก็เอื้อมมือโอบรอบคอของซูเจ๋อไว้ แล้วซุกหน้าซบลงบนไหล่แอบดีใจคนเดียว
นี่คือการอุ้มซูเซี่ยนครั้งแรกของซูเจ๋อ ความรู้สึกที่เด็กน้อยตัวอ่อนยวบยาบซบลงบนไหล่ของเขา จู่ๆ ความคิดที่อยากจะเห็นเขาเติบโตในวันข้างหน้า ความคิดที่อยากจะปกป้องเขาก็เกิดขึ้นมาในใจของซูเจ๋อ
“ท่านพ่อ” จู่ๆ ซูเซี่ยนก็เรียกเขา
ซูเจ๋ออึ้งไปชั่วขณะ ในใจของเขานั้นราวกับคลื่นลมพายุที่กำลังโหมกระหน่ำก็ไม่ปาน เพียงแต่ใบหน้าของเขานั้นยังคงเรียบเฉยราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาขานตอบไปว่า : “อืม”
เฉินเสียนถูกสองพ่อลูกนี้ทำให้ขำขึ้นมา ตอนแรกเธอคิดว่ามีแต่เธอเท่านั้นที่งุ่มง่ามทำตัวไม่ถูก แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นซูเจ๋องุ่มง่ามทำตัวไม่ถูกเช่นนี้ด้วย
ซูเจ๋อลองคำนวณน้ำหนักของเจ้าน่องน้อยแล้วจึงพูดขึ้นว่า : “น้ำหนักเบากว่าเมื่อก่อนมาก เราไม่อาจหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงของยาได้ วันข้างหน้าจะต้องบำรุงให้ดี คงจะบำรุงฟื้นฟูได้ในสามถึงห้าปีข้างหน้านี้”
เฉินเสียนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงซูเซี่ยนในปีที่ผ่านมา รู้สึกบีบหัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ซูเซี่ยนพูดขึ้นว่า : “ท่านแม่ เดี๋ยวข้าก็หายดีเอง เอ้อเหนียงบอกว่าพวกท่านกลับมารับข้าครั้งนี้ เราจะไม่แยกจากกันอีก”
เฉินเสียนยิ้มทั้งน้ำตา : “ใช่ พวกเราจะไม่แยกจากกันอีก”
จากนั้นเฉินเสียนก็ปล่อยให้สองพ่อลูกอยู่ที่ลานสวนกันตามลำพัง ส่วนเธอและแม่นมซุยก็ก่อไฟทำอาหารใหม่อีกครั้งอยู่ในห้องครัว
ซูเซี่ยนได้แสดงรายละเอียดชีวิตความเป็นมาในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ให้ซูเจ๋อเห็น เริ่มตั้งแต่ท่าทางให้อาหารไก่ แล้วต้อนไก่เข้าเล้าอย่างชำนาญ นั่งลงใต้ชายคาเด็ดผัก จากนั้นก็เลือกหาใบหญ้าที่ค่อนข้างยาวมาถักเป็นตั๊กแตนให้เขาหนึ่งตัวเหมือนที่แม่นมซุยเคยสอน
สองพ่อลูกนั่งอยู่ใต้ชายคา ไม่ได้พูดคุยอะไรมากมาย ทั้งคู่ต่างก็มีวิธีสื่อสารใบแบบของตัวเอง
เมื่อแสงสุดท้ายของวันหมดไป ในปากของซูเจ๋อคาบหญ้าอยู่หนึ่งเส้น นิ้วมือที่เรียวยาวหมุนรอบ เขากำลังยุ่งอยู่กับการถักลายใหญ่ให้กับซูเซี่ยน
ซูเซี่ยนนั่งดูอยู่เงียบๆ อย่างตั้งใจ ขาที่ทิ้งตัวห้อยอยู่ตรงทางเดินแกว่งไปมาเบาๆ ของเจ้าน่องน้อย แสดงออกถึงความพึงพอใจและมีความสุขของเขา
แม่นมซุยที่ในตอนแรกไม่ยอมให้เฉินเสียนทำอะไรในครัวแม้แต่อย่างเดียว เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “คนเราเวลาอยู่ที่ไหนก็ให้ทำตัวเหมือนที่นั่น เอ้อเหนียงไม่ต้องรู้สึกเกรงใจข้าหรอก”
แม่นมซุยจึงให้เฉินเสียนเติมฟืนลงกองไฟ แบบนี้ไฟก็จะอุ่นมากขึ้น
แม่นมซุยพูดขึ้นว่า : “องค์หญิง ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ราบรื่นดีรึเปล่าเพคะ? หม่อมฉันได้ยินมาว่าที่อาณาจักรต้าฉู่สงบลงแล้ว หากว่าองค์หญิงมีเวลา หม่อมฉันจึงคิดว่าปีนี้ องค์หญิงจะต้องมารับเจ้าน่องน้อยไปฉลองปีใหญ่อย่างแน่นอน”
เฉินเสียนจึงตอบกลับไปว่า : “ใช่ ทุกอย่างสงบลงแล้ว”
แม่นมซุยหัวเราะเบาๆ อย่างเก้อเขิน พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ดูความจำที่ขี้หลงขี้ลืมของบ่าวนี่สิ วันข้างหน้าก็ไม่สามารถเรียกท่านว่าองค์หญิงอีกแล้ว”
เฉินเสียนหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ไม่เป็นไรหรอก มันก็เป็นเพียงชื่อชื่อหนึ่งเท่านั้น อาเซี่ยนนี่สิ ตอนนี้เขาอายุครบสองขวบแล้ว ต่อไปก็ไม่ได้เรียกชื่อเล่นของเขาอีกแล้ว”
แม่นมซุยจึงตอบกลับไปว่า : “บ่าวจะจำให้ขึ้นใจเจ้าค่ะ”
เฉินเสียนจ้องมองไปที่แม่นมซุยพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เอ้อเหนียง ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ลำบากเจ้าแล้ว” เปลวไฟในเตาส่องกระทบลงบนใบหน้าของเธอ เธอพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า : “และต้องขอบคุณเจ้ามาก ที่อาเซี่ยนได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากเจ้า”
แม่นมซุยจึงพูดขึ้นว่า : “ท่านอย่างพูดเช่นนี้เชียว ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่บ่าวควรทำทั้งสิ้น การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็ดีไม่น้อย แม้ว่าตอนที่เพิ่งมาจะยังไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่นัก แต่ได้ท่านแม่ทัพฉินที่คอยช่วยเหลือเกื้อหนุนทุกอย่าง เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วเขาจึงค่อยกลับไป หากอยากจะขอบคุณ ก็ควรขอบคุณท่านแม่ทัพฉินจึงจะถูกเจ้าค่ะ”
เฉินเสียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาบาง : “ข้าต้องรู้สึกขอบคุณเขาอย่างแน่นอน และนอกจากรู้สึกขอบคุณแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนเขาได้ยังไงอีก”
เมื่อถึงเวลาทานอาหารเย็น ทั้งสี่คนก็ได้นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน ดูแล้วอบอุ่นไม่น้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...