สุดท้ายแล้วเฉินเสียนก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา ว่าไม่สมควรหรือไม่เหมาะสมตรงไหน
ท่านอ๋องมู่พูดขึ้นว่า : “หวังว่าท่านจะไม่เดินตามรอยฝุ่นพวกเรา”
เฉินเสียนรู้สึกสับสนมึนงงไปหมด : “ท่านอ๋องหมายถึงอะไร?”
ท่านอ๋องมู่ยิ้มขึ้นบางเบาด้วยความเอ็นดู พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ในเมื่อฝ่าบาทได้เลือกเขาแล้ว ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จะต้องจับเขาให้แน่น อย่าได้ปล่อยมือเป็นอันขาด ตอนนี้ข้าเองทำได้เพียงสัมผัสและรับรู้ความกล้าหาญและการปลอบประโลมใจจากบนตัวพวกท่านทั้งสองเท่านั้น”
เฉินเสียนยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี ดูออกว่าท่านอ๋องมู่ไม่อยากที่จะพูดถึงมันอีก
เวลานี้บรรยากาศที่ค่ายทหารของอาณาจักรเป่ยเซี่ยเงียบสนิท
เข้าสู่เวลาค่ำคืน ซูเจ๋อส่งตัวไปยังค่ายทหารของอาณาจักรเป่ยเซี่ย หลังจากพักผ่อนแล้วก็ถูกพาไปยังกองผู้บังคับบัญชาการทหาร เพื่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ย
หัวหน้านายทหารชั้นสูงหลายคนที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างนอก พูดขึ้นกับซูเจ๋อว่า : “ใต้เท้าซู เชิญ……”
ด้านในของกองผู้บังคับบัญชาค่อนข้างสว่าง เงาที่สูงยาวขององค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยปรากฏขึ้นอยู่ในกระโจมบังคับบัญชา
สีหน้าแววตาของซูเจ๋อเรียบเฉย เดินเข้าไปในกระโจมช้าๆ ด้วยความใจเย็น
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยยืนหันหลังให้กับเขา
ซูเจ๋อคารวะ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า : “ซูเจ๋อถวายบังคมฝ่าบาท”
ผ่านไปครู่หนึ่ง องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยจึงค่อยหันพระพักตร์แล้วทอดพระเนตรไปยังชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ขณะที่แลกตัวเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมา พระองค์ทรงได้ทอดพระเนตรโครงร่างและลักษณะท่าทางของซูเจ๋อเพียงผ่านๆ เท่านั้น แล้วก็กลับมายังค่ายเลย
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่อยากจะยอมรับเลย พระองค์เป็นกษัตริย์อยู่เหนือใต้หล้า ปกครองทั้งทหารและม้านับพันนับหมื่น จู่ๆ ก็รู้สึกไม่กล้าสบตากับใบหน้านั้น
เมื่อคนเราแก่ตัวลง ก็ไม่อยากจะรับความสุขและความโศกเศร้าที่มากเกินไป
ซูเจ๋อที่ก้มหน้าอยู่นั้น องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยมองเห็นเพียงเงาโครงร่างอันเลือนรางของเขาภายใต้แสงเปลวเทียน เพียงพอที่จะก่อให้เกิดความรู้สึกเหมือนคลื่นที่ปั่นป่วนภายในพระทัยของพระองค์
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่เข้มขรึมว่า : “เจ้าเงยหน้าขึ้น ให้ข้าดูหน่อย”
ซูเจ๋อค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ
เมื่อพระองค์ทรงสบพระเนตรกับนัยน์ตาคู่เรียวยาวของเขานั้น ก็ชะงักขึ้นมาในทันที
คนหนึ่งผ่านโลกมาโชกโชน อีกคนหนึ่งยังหนุ่มยังแน่น
ห้วงเวลาที่สบตากันนั้น ราวกับกระแสน้ำที่ปั่นป่วนอย่างรุนแรงก็ไม่ปาน
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงหรี่พระเนตรลง ดวงพระเนตรแดงก่ำ และทรงค่อยๆ เดินเข้าหาซูเจ๋อช้าๆ พร้อมกับตรัสขึ้นว่า : “เหมือนที่อ๋องมู่กล่าวไว้ไม่มีผิด ใต้หล้านี้ยังมีคนที่มีใบหน้าคล้ายกับข้าอยู่จริง
ข้าเองคิดว่า เขาได้จากโลกนี้ไปตั้งนานแล้ว”
เฉินเสียนรอจนผ่านพ้นไปแล้วหนึ่งวัน ช่วงเย็นของวันที่สองก็ยังไม่ได้รับข่าวคราวจากทางอาณาจักรเป่ยเซี่ยเลย เธอไม่รู้ว่าตอนนี้ซูเจ๋อเป็นยังไงบ้าง ในใจของเธอร้อนรนและเป็นกังวลใจไม่สงบเลย
ดูเหมือนว่าท่านอ๋องมู่จะชอบซูเซี่ยนมากเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่พูดถึง เขาก็มักแสดงรอยยิ้มด้วยความรักและเอ็นดูอยู่เสมอ
อาจเป็นเพราะท่านอ๋องมู่เป็นคนที่มีจิตใจและอัธยาศัยดี บนตัวของเขาจึงท่วมท้นไปด้วยความเมตตาโอบอ้อมอารี ทำให้ซูเซี่ยนไม่ได้รู้สึกเกลียดชังเขา ช่วงบ่ายที่ผ่านมา ท่านอ๋องมู่ได้นั่งเล่นกับซูเซี่ยนที่ทางเดินทั้งบ่าย และได้เล่านิทานต่างๆ นานาให้เขาฟัง
ซูเซี่ยนนั่งฟังอย่างตั้งใจ
สิ่งที่ท่านอ๋องมู่ได้เล่ามานั้นล้วนเกี่ยวข้องกับอาณาจักรเป่ยเซี่ยทั้งสิ้น เขายังพูดอีกว่า : “รอเจ้าเติบโตแล้ว จะต้องไปเที่ยวชมอาณาจักรเป่ยเซี่ยสักครั้ง ปู่จะพาเจ้าขี่ม้าต้อนแกะบนทุ่งหญ้าที่เขียวขจีของอาณาจักรเป่ยเซี่ย”
ซูเซี่ยนยิ้มตาหยี แล้วตอบกลับไปว่า : “ดีเลย”
จากนั้นท่านอ๋องมู่ก็ลุกขึ้นจัดระเบียบชุด พร้อมกับถามขึ้นว่า : “อาเซี่ยนน้อย มาให้ปู่อุ้มหน่อยดีหรือเปล่า?”
ซูเซี่ยนนั่งเงียบไม่ตอบอยู่ครู่หนึ่ง
ท่านอ๋องมู่จึงหัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เด็กน้อยไม่ชอบเข้าใกล้คนแปลกหน้าใช่หรือเปล่า? ช่างเถิด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...