หลังจากที่ชายแดนต้าฉู่สงบลง เฉินเสียนกับซูเจ๋อวางแผนคิดที่จะพาซูเซี่ยน แม่นมซุยออกไปจากที่นี่ แล้วรีบเร่งกลับเมืองหลวง
ระหว่างทางคณะเอกอัครราชทูตยังคงคุ้มกันคนกลุ่มหนึ่งกลับเมืองหลวง ได้ผ่านทุ่งกว้างที่เปล่าเปลี่ยว เดินอ้อมผ่านเนินเขาที่ยาวสุดลูกหูลูกตา
บนเนินเขาที่หันไปทางทิศใต้นั่น มีคนยืนอยู่ผู้หนึ่ง เพ่งมองขบวนที่เดินออกไปไกล จนขบวนนั่นไกลเลือนรางเหลือเพียงจุดดำเล็กน้อย ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็คล้ายดั่งเม็ดทรายที่ถูกลมพาดพัดผ่านกระจายออกไป
เมื่อกี้พระองค์หันกลับมา หน้าหันไปทางสุสานร้างโดดเดี่ยวที่อยู่ตรงหน้า
ใบหญ้าแห้งบนสุสานเพิ่งจะถูกชำระสะสางไป ธูปหอมที่เผาไหม้อยู่หน้าสุสานยังใหม่อยู่
พระองค์เอื้อมมือที่สั่นเทาลูบเนินบนสุสานหินที่หนาวเหน็บ เงียบอยู่เป็นเวลานาน น้ำตาคลอเบ้า กล่าวว่า “ข้า หาพวกท่านนานหลายปี”
บริเวณใต้เนินเขามีผู้คุ้มกันอยู่ประปรายไม่กี่คน ท่านอ๋องมู่สวมใส่ชุดธรรมดา กุมมืออยู่ รู้สึกเศร้าสลดใจเล็กน้อยชั่วขณะ ข้างกายของเขามีขันทีสองคนที่สวมใส่ชุดลำลองอยู่ด้วย กังวลใจเป็นห่วงสถานการณ์ด้านบนอยู่ตลอดเวลา กล่าวขึ้นว่า “ด้านบนลมแรง องค์จักรพรรดิ ต้องระมัดระวังความหนาวเย็นนะพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องมู่ทอดถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ปล่อยพระองค์ไปเถิด”
“เฮ้อ กี่ปีแล้วที่องค์จักรพรรดิไม่ได้มีความรู้สึกอ่อนแอเช่นนี้”
หลังจากที่มีความวุ่นวายในเป่ยเซี่ยผ่านไป จักรพรรดิเป่ยเซี่ยยิ่งแสดงออกด้วยท่าทางใจเด็ดเดี่ยว จะเศร้าสลดใจอย่างตอนนี้ที่ไหนกันล่ะ
บนรถม้า เฉินเสียนถามซูเจ๋อว่า “จักรพรรดิเป่ยเซี่ยพูดสิ่งใดกับท่านหรือ? เหตุใดพอท่านไปแล้ว พระองค์ก็ถอนทหารกลับอย่างง่ายดาย?”
ซูเจ๋อมองเธอ แล้วกล่าวว่า “พระองค์ต้องการให้ข้าอยู่ที่เป่ยเซี่ย เพื่อรับใช้พระองค์”
“เป็นอย่างที่คิดไว้”เฉินเสียนเม้มริมฝีปาก “เช่นนั้นพระองค์ปล่อยท่านกลับมาอย่างไร?”
ซูเจ๋อกล่าวอย่างเอ้อระเหยว่า “ไม่ปล่อยข้ากลับมา ท่านสามารถวางมือได้หรือ ท่านอ๋องมู่อยู่ในมือท่าน หากข้ายืนหยัดไม่ไกล่เกลี่ย พระองค์ไม่สามารถที่จะชดใช้ให้นายหญิงได้ยังสูญเสียทหารอีกด้วย เช่นนี้ไม่คุ้มค่าเลย”
เฉินเสียนคิดดูแล้ว ก็รู้สึกว่าใช่
ซูเจ๋อโอบเธอเข้ามาในอ้อมกอด คางกดลงต่ำบนหน้าผาก เฉินเสียนมองไม่เห็นสีหน้าเรียบเฉยเขา แต่ได้ยินเสียงใสแจ๋วของเขาดังอยู่ที่หู กล่าวว่า “อาเสียน สิ่งไม่ดีอันตรายที่เป่ยเซี่ยจัดการคลี่คลายแล้ว หลังจากกลับไปยังต้องคลี่คลายสิ่งไม่ดีอันตรายของเย่เหลียงด้วย”
ตอนที่กลุ่มคนกลับเข้ามาในเมืองหลวงอย่างราบรื่น เป็นเทศกาลล่าปา ยังทันฉลองตรุษจีน
ซูเซี่ยนใช้สถานะขององค์ชายใหญ่กลับเข้าพระราชวัง ขุนนางทั้งหลายไม่ได้กล่าวสิ่งใด
มีสถานที่ที่ซูเซี่ยนปรากฎต่อหน้าผู้คน ซูเจ๋อก็ไม่ได้อยู่สถานที่เดียวกันกับเขา หลีกเลี่ยงการถูกคนหยิบนำมาเป็นข้อเปรียบเทียบ
แต่แม้ว่าทั้งสองคนไม่ได้ปรากฏตัวพร้อมกันจนเป็นข้อเปรียบเทียบ วันนี้ขุนนางจำนวนหนึ่งที่เห็นซูเซี่ยนเลิกงานแล้วระหว่างเดินทางกลับเรือน ก็เริ่มถกกันเรื่องนี้ขึ้นมา
“พวกท่านรู้สึกหรือไม่ว่า องค์ชายใหญ่ยิ่งมองยิ่งหน้าตาคุ้นๆ?”
“เหมือนแม่ทัพฉินหรือ?”ขุนนางอีกท่านส่ายศีรษะ ลูบเคราแล้วกล่าวว่า “ข้ามองแล้วไม่ค่อยคล้ายนะ”
“ข้ารู้สึกว่า.......”มีอีกคนหนึ่งราวกับกำลังคิดสิ่งใดอยู่ได้กล่าวขึ้นว่า “ใช่หรือไม่ว่าคล้ายกับราชครู?”
ขุนนางจำนวนหนึ่งชะงักงัน หัวเราะแห้งๆแล้วกล่าวว่า “ฮ่า ฮ่าๆ.......ล้อเล่นเก่งจริง ไม่น่าเป็นไปได้หรอก .....มากที่สุดคือได้ยินอยู่บ่อยครั้งว่านิสัยเฉพาะตัวคล้ายกันเล็กน้อยเท่านั้นเอง.......”
เฉินเสียนตั้งหม้อน้ำเพื่อกินหม้อไฟในพระราชวัง เหลียนชิงโจวอยู่ต่างที่ ไม่สามารถกลับมาได้ทัน ฉินหรูเหลียงสติปัญญาล้ำเลิศหาข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้ามาในพระราชวัง ด้วยเหตุนี้เลยมีเพียงเฉินเสียน กับซูเจ๋อและเฮ่อโยว
หม้อไฟบนโต๊ะกำลังเดือดปุดๆขึ้น แต่ทว่าเฉินเสียนยังไม่ทันได้ลงมือเลย ได้เปิดพลิกดูสมุดบันทึกจืดชืดทีละแผ่น และได้ยินเฮ่อโยวกราบทูลเรื่องราวสถานการณ์ที่มีช่วงสองเดือนนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...