อวี้เยี่ยนส่งอาหารว่างกับน้ำชาร้อนๆเข้ามา มือขาวลออของเฉินเสียนกรองใบชาและฟอง ส่งไปด้านข้างมือของซูเจ๋อ แล้วกล่าวว่า “ท่านเป็นพระสามีของข้า เป็นท่านพ่อของอาเซี่ยน เข้าออกพระตำหนักไท่เหอก็ไม่ผิด”
บนมือของซูเจ๋อเปื้อนรอยหมึกสีดำไม่มากไม่น้อย และมีกลิ่นหอมจางๆของหมึกอยู่ที่นิ้วมือ เขาหยิบชามาดื่มหนึ่งกลืน กล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “แม้ไม่ใช่เวลาเช้าตรู่กับยามพระอาทิตย์ตกดินของทุกวัน ก็สามารถพบเจอกันได้บ่อยเป็นประจำ ก็ไม่เลวร้าย”
“ที่แท้ท่านพึงพอใจง่ายๆเช่นนี้หรือ?”
“หากพูดว่าพึงพอใจ คนจะพึงพอใจอย่างง่ายๆเช่นนี้ที่ไหนกันล่ะ ”เขากล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าเพียงแค่มีความอดทน รอได้ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่กลุ่มนั้นไม่ถึงขนาดว่ามีอายุยืนนานกว่าข้าหรอก ข้าไม่ยอมให้ท่านกดดันตนเองเกินไปหรอก”
สีท้องฟ้าค่อยๆมืด เฉินเสียนกับซูเจ๋อต่างกอดกันบนเก้าอี้ไม้ ตัดใจไม่ลงที่จะให้เขาจากไป รัดเขาไว้แล้วกล่าวว่า “เย็นนี้อยู่กินอาหารเย็นด้วยกัน ได้หรือไม่?”
สามคนพ่อแม่ลูกกินอาหารเย็นด้วยกัน
ซูเซี่ยนใช้ถ้วยตะเกียบเอง ไม่ต้องมีผู้มีป้อนทีละคำ เฉินเสียนมักจะคีบอาหารส่งอาหารรสจืดไปในถ้วยของเขาอยู่เป็นนิจ ตอนที่เธอดูแลซูเซี่ยน ซูเจ๋อก็ดูแลเธอด้วย
หลังจากที่ซูเจ๋อกินอิ่มแล้ว วางถ้วยตะเกียบลงอย่างสุภาพเรียบร้อย ปากเล็กเปื้อนไปด้วยคราบความมันเยิ้มแวววาว กล่าวว่า“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากินเสร็จแล้ว อยากออกไปเดินสักหน่อย”
ทันทีหลังจากนั้นแม่นมซุยก็ได้เข้ามารับซูเซี่ยนออกไปเดินเล่นย่อยอาหาร เหลือไว้เพียงเฉินเสียนกับซูเจ๋ออยู่ในห้องสองคน
เฉินเสียนใช้ทัพพีตักน้ำซุปให้ซูเจ๋อ หรี่ตามองเขาที่กินไม่กี่คำ แล้วกล่าวอีกว่า “ซูเจ๋อ ฟ้ามืดแล้ว คืนนี้พักอยู่ที่พระตำหนักไท่เหอ ดีหรือไม่?”
ซูเจ๋ออมยิ้ม ราวกับจะเลิกคิ้วขึ้นกล่าวว่า “ท่านคิดวางแผนโน้มน้าวชักจูงข้าหรือ?”
เฉินเสียนค้ำศีรษะเอาไว้ มองเขาแล้วกล่าวว่า “ใช่ ข้าอยากจะหลอกท่านเข้ามาในพระตำหนัก หลังจากนั้นค่อยวางแผนอย่างช้าๆ”
“อาจจะไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?”
“วันพรุ่งช่วงเช้าตรู่ยังต้องมีพิธีการเข้าเฝ้าท่านจะสายอีก อาจจะถูกกลุ่มขุนนางชั้นผู้ใหญ่ดุด่าเอาได้”
เฉินเสียนเม้มริมฝีปาก กล่าวว่า “หากข้าพูดว่าข้าไม่สนใจล่ะ?”
ในดวงตาของซูเจ๋ออึมครึม กล่าวว่า “หากว่าข้าถูกด่าเป็นขุนนางไม่ซื่อสัตย์ต่อชาติบ้านเมือง ท่านก็ไม่สนใจใช่หรือไม่?”
เฉินเสียนเงียบ เธอไม่สามารถไม่สนใจ เธอก็รู้ว่าซูเจ๋อเป็นเหมือนกับเธอ โดยพื้นฐานไม่ได้สนใจตัวเองถูกด่า เขาเพียงแค่ทำใจไม่ได้ที่เธอจะถูกผู้คนบนพื้นพิภพด่าทอ
สุดท้าย เฉินเสียนทำได้เพียงส่งซูเจ๋อออกไปจากพระตำหนักไท่เหอ มองเขาที่อยู่ใต้แสงไฟสลัวขมุกขมัว เดินไปเพียงลำพัง
เฉินเสียนกล่าวพูดไม่หยุดว่า “ภายในเรือนหนาวเหน็บมาโดยตลอดก็ไม่ดี นิสัยท่านนี้ พอกลับไปก็ไม่ให้ผู้ใดมาลำบากวุ่นวายด้วย ค่ำคืนนี้ก็กลับไปเช่นนี้แล้ว”
ซูเจ๋อบีบเปลือกตาเล็กแคบลง ฟังอยู่เงียบๆ เฉินเสียนเข้าใกล้เล็กน้อย พิงอยู่ที่ราวจับของสะพานไม้ จัดการชุดให้เรียบร้อยแทนเขา นิ้วมือลูบไล้อย่างบางเบาที่รอยย่นดำขลับบนชุดของเขา แล้วกล่าวอีกว่า“ในเรือนนั่นบวกเพิ่มคนจำนวนหนึ่ง อย่าคิดว่าเพราะท่านอยู่ผู้เดียว ก็สามารถทำลวกๆอย่างตามสบายได้ อากาศหนาวเหน็บต้องสวมใส่เสื้อผ้าเยอะๆ หนาๆ หิวแล้วก็สั่งให้คนรับใช้เตรียมชาอาหารว่างมื้อดึก จำไว้ว่าให้พ่อบ้านวางเตาผิงไว้ในห้องท่านด้วย อย่างนี้ท่านก็จะอบอุ่นขึ้นมาบ้าง”
เฉินเสียนกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “มีบางเวลาคิด หากท่านกับข้าเป็นสามีภรรยาทั่วไปคู่หนึ่ง ข้าก็ไม่ต้องกังวลใจมากมายหลายด้านเช่นนั้น มีข้าอยู่ข้างกายท่าน ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางให้ท่านหนาวเหน็บ หิว โดดเดี่ยวลำพัง เงียบเหงาอ้างว้างหรอก”
เธอเลิกคิ้วแล้วยิ้ม กล่าวอีกว่า “ข้าชอบเรือนนั้นของท่านเป็นอย่างมาก หากสามารถเข้าออกเรือนนั้นกับท่านได้ ชีวิตอย่างนั้นน่าจะดีเป็นอย่างมาก จะได้ไม่เหมือนข้าตอนนี้ ท่านยังไม่ได้ไป ข้าก็เริ่มห่วงหาอาทรถึงขนาดปล่อยวางไม่ลงแล้ว”
ซูเจ๋อก้มศีรษะลงมาจับมือของเฉินเสียน วางที่ริมฝีปากช้าๆ กลิ่นอายลมหายใจของเขาอยู่บนนิ้วมือของเธอ อ่อนโยนเหลือเกิน
เขากล่าวว่า “อาลัยอาวรณ์ข้าเช่นนั้นจริง ข้าอยู่ก็สิ้นเรื่องแล้ว”
เฉินเสียนกล่าวว่า “วันพรุ่งหากถูกด่าว่าเป็นทรราชจะทำอย่างไร?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...