เฮ่อโยวเอ่ยอย่างขบขันว่า “เพื่อเพิ่มพูนวิชาความรู้ของฝ่าบาท ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้พวกเขาอาจจะจัดตั้งหน่วยงาน เขียนสาส์นกราบทูลข้อราชการร่ายยาวแบบนี้ต่อไป ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรไปเรื่อยๆ อีกหน่อยก็ค่อยชินเองพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนอดคิดถึงท่าทางของซูเจ๋อตอนที่เขาอ่านสาส์นกราบทูลข้อราชการไม่ได้ เขากวาดสายตาอ่านสาส์นข้อราชการนั้นอย่างรวดเร็วด้วยสายตาที่เรียบเฉย หลุบเปลือกตาลงเพียงเล็กน้อยก็กวาดสายตาอ่านได้จนจบภายในรวดเดียว
เมื่อไรนะ เธอถึงจะทำได้อย่างเขา
เฉินเสียนอ่านต่อไปอย่างอดทนและถามว่า “ช่วงนี้ท่านพ่อของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“สภาพจิตใจดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนพ่ะย่ะค่ะ อาจจะเป็นเพราะหยุดพักอยู่ที่เรือนมานาน เวลานี้จึงไม่ได้สนใจกิจของราชสำนัก” เฮ่อโยวบอก “เขาเพียงแต่ต้องการใช้ชีวิตในวัยชราอย่างสงบ บางครั้งก็นัดสหายเก่ามาเล่นหมากกระดานและดื่มชาที่เรือนพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนพยักหน้ารับรู้
เฮ่อโยวกล่าวอีกว่า “อันที่จริงแบบนี้ก็ดีไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“เจ้าหมายถึงแบบไหน”
เฮ่อโยวกล่าวว่า “เมื่อก่อนราชสำนักเป็นเหมือนบ่อน้ำที่เหือดแห้ง เหล่าขุนนางไม่แม้แต่จะยอมกวนให้เกิดคลื่น แต่วันนี้ราชสำนักกลับเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ขุนนางเก่าแก่เหล่านั้นดูเหมือนจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะโต้เถียงกับฝ่าบาทเหมือนคนแก่ที่ซุกซน แต่พวกเขาก็กลับมาบริหารกิจของราชสำนักอย่างกระตือรือร้น ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่น่าปลื้มใจยิ่งนัก”
เฉินเสียนกระตุกยิ้มและกล่าวว่า “ดูเหมือนการโต้เถียงกับข้าบ่อยๆ จะทำให้พวกเขามีอายุยืนยาวขึ้นอีกสองปี” เธอหยุดนิดหนึ่งและถอนหายใจ “เป็นเช่นนั้นก็ดี”
เพียงแต่เรื่องที่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ฟ้องร้องซูเจ๋อในการเข้าเฝ้ายามเช้า กลายเป็นเหมือนหนามแหลมที่ทิ่มแทงอยู่ใจในของเฉินเสียน
มีครั้งนี้เป็นครั้งแรก หลังจากนั้นแทบทุกวันก็จะมีขุนนางยื่นฟ้องร้องมาอีก การทูลคราวก่อนมีบันทึกซึ่งแสดงให้เห็นว่าซูเจ๋อเข้าออกวังหลังอยู่บ่อยครั้ง จากหน้าสองหน้าเป็นสามสี่หน้า แล้วก็เป็นห้าหน้าหกหน้า
เฉินเสียนพยายามเลี่ยงพูดถึงเรื่องนี้มาตลอด หลังจากนั้นการฟ้องร้องของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็เริ่มทำให้เฉินเสียนรำคาญจนเหลือจะทน เธอจึงเอ่ยอย่างอารมณ์เสียว่า “ข้าเพียงแต่เชิญใต้เท้าซูไปไปกินอาหารเย็นเพียงหนึ่งมื้อ ไม่ได้เชิญให้เขาค้างคืน พวกท่านกังวลอะไรไม่เข้าเรื่อง!"
“ใต้เท้าซูเข้าออกวังหลังอย่างอิสระ ไม่สอดคล้องกับขนบ ฝ่าบาททรงอย่า...”
เฉินเสียนขัดจังหวะ “เอาละ ถ้าพูดอะไรเยิ่นเย้อกว่านี้อีกสักประโยคละก็...” เฉินเสียนหรี่ตามองขุนนางผู้นั้นและยิ้มเยาะ “เชื่อหรือไม่ว่าคืนนี้ข้าจะเชิญให้เขาค้างคืนที่พระตำหนักไท่เหอ”
เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่หยุดพูดทันที พวกเขารู้ว่าจักรพรรดินีมีนิสัยแปลกๆ และหัวแข็ง หากนางโมโหขึ้นมาจริงๆ นางย่อมทำจริงตามที่พูดแน่นอน ดังนั้นเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่จึงไม่ได้นำเรื่องนี้มาโต้แย้งในราชสำนักอีก แต่การยื่นฎีกาฟ้องร้องในการเข้าเฝ้ายามเช้ายังจำเป็นต้องมีต่อไป
เมื่อนึกถึงคำพูดของซูเจ๋อตอนที่เขากลับออกไปจากพระตำหนักไท่เหอเมื่อคืนนี้ขึ้นมาได้ เฉินเสียนจึงเรียกให้เหลียนชิงโจวเข้าวังและให้นำไม้วูเฉินที่เขาเพิ่งได้มามาด้วย
ไม้วูเฉินนั้นหนักมากจนต้องใช้คนจำนวนมากขนเข้ามาในวัง
เฉินเสียนเลิกผ้าที่คลุมไว้ออกดู เป็นไม้สีดำสนิทราวกับถ่าน เธอลองใช้เท้าเตะๆ ดูและพบว่ามันแข็งมาก
เฉินเสียนกล่าวว่า “ได้ยินมาว่าช่วงนี้เจ้าออกทะเลไปหาสมบัติ?”
เหลียนชิงโจวซุกแขนเสื้อและเอ่ยอย่างสุภาพว่า “การค้าขายในต้าฉู่ซบเซาอยู่มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ โชคดีที่กระหม่อมยังมีเรืออยู่สองลำ จึงออกทะเลเพื่อดูว่ามีเรืออับปางที่พอจะเก็บของตกๆ หล่นๆ บ้างได้หรือไม่ จากนั้นเลยถือโอกาสตกปลาหาเลี้ยงชีพ”
“ฟังดูช่างน่าเวทนาเสียจริง” เฉินเสียนถามว่า “แล้วเจ้าเจอของล้ำค่าอะไรบ้างหรือไม่”
เหลียนชิงโจวชี้ไปที่ไม้วูเฉิน เอ่ยอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “มีแค่สิ่งนี้กับหอยมุกอีกนิดหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนลูบคางและกล่าวว่า “ก็ไม่เลวนี่”
เหลียนชิงโจวกล่าวว่า “หอยมุกเหล่านั้นดูเหมือนสวยงาม แต่ไม่มีประโยชน์เหมือนข้าวสาร อีกทั้งยังมีค่าน้อยกว่าเงินทอง ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์มากนัก”
เฉินเสียนบอกว่า “เจ้าโง่หรือเปล่า เอาไข่มุกมาทำเครื่องประดับ เป็นต่างหูมุก สร้อยคอ ยังมีปิ่นปักผมอีก ผู้หญิงชอบทั้งนั้นตราบใดที่มันสวยพอ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...