“ทว่า เงื่อนไขที่เย่เหลียงเสนอมานั้นดีมากทีเดียว”
“ตั้งแต่ไหนแต่ไร วังหลังมีกฎห้ามแทรกแซงกิจของราชสำนักมาโดยตลอด แม้ว่าองค์ชายหกแห่งเย่เหลียงจะเข้ามาในวังหลัง แต่พระองค์ก็เข้ามายุ่งกิจภายในราชสำนักของต้าฉู่ไม่ได้”
“ส่วนเรื่องรัชทายาท ขอเพียงฝ่าบาทไม่มีรัชทายาทให้องค์ชายหก นอกนั้นก็ไม่มีปัญหา”
เฉินเสียนฟังเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่แย่งกันพูดแย่งกันหารือด้วยสีหน้าบึ้งตึง ในที่สุดก็มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า “กราบทูลฝ่าบาท พวกกระหม่อมคิดว่า พอจะเป็นไปได้พ่ะย่ะค่ะที่จะเกี่ยวดองกับเย่เหลียง”
“คนพูดย่อมไม่ปวดเอว พวกท่านไม่ได้เป็นข้าก็พูดง่ายนะสิ” เฉินเสียนเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
เมื่อก่อนไม่ว่าจะโต้เถียงกันอย่างไร ในท้ายที่สุดเฉินเสียนและขุนนางเหล่านี้ก็มักจะหาข้อสรุปร่วมกันจนได้ และเฉินเสียนก็คิดเสมอว่าเป็นเรื่องที่ดีที่พวกเขากล้าออกความเห็นขัดแย้งกับเธอเพื่อความเจริญก้าวหน้าของต้าฉู่
เฉินเสียนวางมือลงบนหัวมังกรตรงที่เท้าแขนและเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “จะหารือเรื่องอะไรข้ายอมได้ทั้งนั้น ยกเว้นเรื่องนี้ที่ข้าไม่ขอหารือด้วย”
ขุนนางชราผู้หนึ่งก้าวออกมาจากแถว ประสานมือคารวะก่อนจะเอ่ยว่า “ฝ่าบาท เวลานี้วังหลังว่างเปล่า แม้ว่าการเกี่ยวดองกับเย่เหลียงจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับสายเลือดของราชนิกุล แต่ฝ่าบาทควรนึกถึงชาติบ้านเมืองและเห็นแก่ภาพรวมเป็นสำคัญ นับตั้งแต่โบราณกาล วังหลังไม่ได้มีเพียงเพื่อสร้างความพอใจและเติมเต็มความปรารถนาให้องค์จักรพรรดิเท่านั้น แต่ยังจัดตั้งเพื่อช่วยประคับประคองราชสำนัก กระหม่อมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าฝ่าบาทจะทรงเข้าพระทัย”
เฉินเสียนตบโต๊ะเสียงดังจนขุนนางทั้งราชสำนักสะดุ้ง เธอลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลัน ความดื้อดึงและความเอาแต่ใจที่เคยแสดงให้เห็นเมื่ออยู่ต่อหน้าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ถูกแทนที่ด้วยความน่าเกรงขามของจักรพรรดินีที่ไม่อาจมองข้าม
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเสียนใช้อำนาจของจักรพรรดิควบคุมเหล่าขุนนางทั้งหลายในราชสำนัก ขุนนางเหล่านั้นต่างรวบชายเสื้อและคุกเข่าลง
เฉินเสียนเอ่ยอย่างทรงพลังว่า “ก่อนหน้านี้บอกว่าวังหลังแทรกแซงกิจของราชสำนักไม่ได้ แต่ตอนนี้มาบอกว่าวังหลังเป็นสิ่งที่ช่วยประคับประคองราชสำนัก ที่อ้ายชิงทุกท่านกล่าวมาเพื่อโน้มน้าวข้า มันไม่ได้ขัดแย้งในตัวเองหรอกหรือ ข้าขอบอกอีกครั้งว่าข้าไม่ยอมรับเรื่องนี้”
เฉินเสียนสะบัดแขนเสื้อ เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เพื่อชาติบ้านเมือง ข้ายอมอดตาหลับขับตานอน ยอมทุ่มเทและอุทิศสติปัญญาอย่างเต็มที่ แต่ต้าฉู่ก็คือต้าฉู่ ข้าก็คือข้า ถ้าพูดถึงการเติมเต็มความปรารถนาให้จักรพรรดิ ข้าเองก็มีเหมือนกัน แต่ข้าไม่ได้ปรารถนามากมาย ข้าปรารถนาแค่เพียงผู้เดียวเท่านั้น”
เธอเดินไปที่ผ้าม่านสีทอง หันกลับไปและชายตามองขุนนางในราชสำนักด้วยสายตาที่เย็นชาและดุดัน “พวกท่านเข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
ถามจบก็หันหลังเตรียมจะเดินจากไปโดยไม่รอให้เหล่าขุนนางตอบ เธอเอ่ยเรียบๆ ว่า “เลิกศาล”
“เลิกศาล...”
ราชสำนักซึ่งเคยคึกคักเฟื่องฟูดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความหดหู่ตลอดเวลา ไม่มีชีวิตชีวาเลยแม้แต่น้อย
ณ พระตำหนักไท่เหอ ซูเซี่ยนนั่งยืดหลังตรงเขียนหนังสืออยู่บนโต๊ะโดยมีซูเจ๋อคอยจับมือสอน ท่าทางการจับพู่กันของเขาดูคล้ายซูเจ๋อมาก
สองพ่อลูกไม่ค่อยคุยกันระหว่างเรียนหนังสือ ยกเว้นเมื่อต้องอ่านออกเสียงคำศัพท์หรือตอนที่ซูเจ๋อต้องอธิบายให้เขาฟัง
วันนี้ซูเซี่ยนเรียนคำศัพท์ไปแล้วสองสามคำ เมื่อวางพู่กันลง อยู่ๆ เขาก็พูดบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนขึ้นมา
“ช่วงนี้ท่านแม่ไม่มีความสุขเลย”
นิ้วที่กำลังพลิกหน้าตำราของซูเจ๋อหยุดชะงัก เขาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ท่านแม่ของเจ้าอยู่ในฐานะเช่นนั้น ย่อมมีเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจเสมอ”
“มีหนังสือราชการเป็นกองๆ ในห้องบรรทมของท่านแม่ ทั้งหมดเป็นหนังสือฟ้องร้องท่าน” ซูเซี่ยนกล่าว “แต่ท่านแม่ไม่หยิบมาอ่านเลย”
หลังจากนั้นสองพ่อลูกก็เงียบไปอีกครั้ง
ฝนตกชุกติดต่อกันหลายวันหลังจากย่างเข้าวสันตฤดู และเสียงเปาะแปะของสายฝนก็ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน
ซูเจ๋อกางร่มเดินไปบนเส้นทางที่ปูด้วยแผ่นหิน ตะไคร่น้ำสีเขียวชอุ่มเติบโตและโผล่ออกมาจากรอยแยกระหว่างแผ่นหินเหล่านั้น เสริมให้บรรยากาศยิ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันสดชื่นของวสันตฤดู
เครื่องแบบขุนนางที่เขาสวมใส่พลิ้วไหวเบาๆ ท่ามกลางสายฝน ฝนที่ตกลงมาเป็นเหมือนใยแมงมุมที่เกาะอยู่บนร่ม หยดเลียบลงมาตามโคลงร่มทีละหยดๆ
เมื่อเดินมาถึงประตูเรือน ซูเจ๋อจึงเห็นว่ามีเกี้ยวสองคันจอดอยู่ที่หน้าประตู
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...