ข้าคือหงส์พันปี นิยาย บท 569

ผู้เฒ่าท่านนี้มีประสบการณ์มากมาย ก่อนทำการรักษาก็ได้ล้างมืออย่างสะอาด เตรียมอุปกรณ์และยารักษาอย่างใจเย็น จากนั้นก็ขอเชิญให้เฉินเสียนออกไปด้านนอกก่อน

เด็กสาวจึงพูดกับเฉินเสียนว่า “เวลาที่ท่านปู่กำลังรักษาคน จะไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้ามารบกวนข้างกาย ดังนั้นจึงขอให้พระองค์โปรดอภัย รอให้ท่านปู่ทำการรักษาให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงค่อยเรียกพระองค์เข้ามา”

เฉินเสียนและเด็กสาวจึงออกไปข้างนอกห้องพร้อมกัน นั่งเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูไม่ยอมห่างไปไหน เพียงขอให้ซูเจ๋อนั้นฟื้นขึ้นมา จะให้เธอทำอย่างไรก็ย่อมได้

เด็กสาวเทน้ำมาเพื่อให้เฉินเสียนได้ล้างคราบเลือดที่มือออก แล้วมองไปเห็นคราบน้ำตาบนใบหน้าของเฉินเสียน จึงเอ่ยว่า “พระองค์ไม่ต้องทรงเป็นกังวลใจ มีท่านปู่ข้ามารักษาด้วยตัวเอง ใต้เท้าซูต้องไม่เป็นอะไรแน่เพคะ”

เฉินเสียนไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับแต่อย่างใด เด็กสาวกลัวว่าเธอจะไม่เชื่อ จึงพูดปลอบใจเธอขึ้นอีกว่า “เมื่อสิบปีก่อนท่านปู่ของข้าเป็นหมอหลวง วิชาการแพทย์ของใต้เท้าซูทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะท่านปู่ข้าสอน ในเมื่อท่านปู่ข้าบอกว่าเป็นแค่บาดแผลภายนอก มันก็คือบาดแผลภายนอก รักษาไม่กี่วันก็หายแล้วเพคะ”

เฉินเสียนก้มหน้าลงมองสองมือของตัวเองที่สะอาดไม่มีคราบเลือดแล้ว แต่เธอกลับยังรู้สึกว่ามือของนั้นยังมีเลือดอยู่

“เขาต้องไม่เป็นไร”เฉินเสียนนำสองมือประกบเข้าที่ใบหน้า แล้วพูดพึมพำออกมา ไม่รู้ว่าพูดให้ตัวเองฟังหรือว่าพูดให้สวรรค์ฟังกันแน่

จากที่ซูเจ๋อได้รับบาดเจ็บสาหัสในเย่เหลียงครั้งนั้น มันก็ผ่านมานานสองสามปีแล้ว แต่เมื่อนึกถึงขึ้นมาภาพนั้นมันยังคงปรากฏขึ้นให้เห็นในดวงตาได้อย่างชัดเจน พวกเขารักกันมาเป็นเวลานานแล้ว ผ่านอะไรมาด้วยกันก็ตั้งมากมาย เฉินเสียนก็ยิ่งรับไม่ได้ที่จะทนเห็นซูเจ๋อนั้นได้รับบาดเจ็บจนเลือดออกเช่นนี้

จริงๆแล้วเธอกลัวว่าจะไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับซูเจ๋อ เธอจะไม่หวาดกลัวที่จะสูญเสียเขาไปได้อย่างไร เธอนั้นเป็นกังวลใจและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

เฉินเสียนรู้สึกเสียใจมาก ถ้าเกิดวันนี้ซูเจ๋อไม่ได้ไปด้วยก็คงจะดี ถ้าเกิดเธอประนีประนอมให้เร็วกว่านี้ ยอมรับองค์ชายหกเข้าวังเร็วกว่านี้ ก็คงไม่ต้องให้เขามาพูดโน้มน้าวเพื่อให้เธอออกไปพร้อมกับเขาหรอก

อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้อยากจะไปสถานที่แห่งนั้นอยู่แล้ว

ถ้าเกิดเขาไม่ได้ออกไปประตูเมืองกับเธอ ก็คงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น หรือว่าถ้าเกิดเธอไม่ได้เพียงสนใจแต่จะประทะคารมกับองค์ชายหก แล้วกลับเข้าเมืองได้ทันเวลา ก็คงไม่เกิดเหตุการณ์ที่ก้อนหินจากศาลาบนประตูเมืองร่วงหล่นลงมาแน่……

มีคำว่า ถ้าเกิด มากมายอยู่หัว ทำให้เฉินเสียนคิดวนไปวนมาจนสมองว้าวุ่น

เฉินเสียนมักคิดว่าต้องมีสักวันที่เธอสามารถปกป้องซูเจ๋อได้ แต่ความเป็นจริงแล้วหลังจากวันนั้นจนถึงตอนนี้ เธอก็ถูกผู้ชายคนนี้ปกป้องมาโดยตลอด

เพื่อปกป้องไม่ให้เธอเป็นจักรพรรดินีที่ถูกประชาชนประมาณ เขาจึงปฏิบัติตามหน้าที่ระหว่างจักรพรรดิและขุนนางอย่างเคร่งครัด แม้แต่โอกาสที่จะได้กอดเขาหรือแม้แต่โอกาสที่จะปลอบประโลมเขา เธอก็ไม่เคยได้รับ

ความยืนหยัดมุ่งมั่นของตัวเขาถูกปิดกั้นเอาไว้ภายนอก ไม่มีใครบนโลกนี้สามารถทำลายมันได้

การที่ซูเจ๋อเป็นเช่นนี้ มันทำให้เฉินเสียนนั้นเสียใจและหวาดกลัวอย่างมาก ถ้าเกิดเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้ เธอยอมให้ก้อนหินที่ตกลงมาจากศาลาบนประตูเมืองหล่นทับเธอให้ตายเสียดีกว่า

เขาใช้ชีวิตที่เหลือนั้นคิดแต่เพื่อเธอ แต่มีสักนิดบ้างหรือไม่ที่จะคิดเพื่อตัวเอง?

มือข้างหนึ่งของเฉินเสียนกุมที่หน้าผาก เส้นผมที่หล่นลงมาพันกับนิ้วมือ และอีกข้างก็คว้าไปที่หัวใจของตัวเองอย่างเจ็บปวด

เด็กสาวถามเธอว่า “พระองค์เป็นอะไรไปเพคะ?”

เธอตอบกลับอย่างอึดอัดใจว่า “เจ็บ ข้าเจ็บมากเลย เจ็บปวดจนจะหายใจไม่ออกแล้ว”

ภายในห้อง ขณะที่ซูเจ๋อยังหลับตาอยู่ หายใจอย่างแผ่วเบา สีหน้าขาวซีดสงบนิ่ง ตอนที่ผู้เฒ่าตรวจดูบาดแผลที่ศรีษะของเขาอยู่นั้น พูดขึ้นว่า “ยังคงพอได้สติ?”

ซูเจ๋อตอบกลับอย่างเรียบเฉยว่า “อืม ยังเวียนศรีษะอยู่นิดหน่อย”

ไม่ใช่เรื่องยากที่ผู้เฒ่านั้นจะเห็นรอยแผลสองแผลที่ด้านหลังศรีษะของเขา บาดแผลหนึ่งนั้นเป็นร่องรอยของบาดแผลเก่า เขาจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยถามว่า “เจ้าหนุ่ม เมื่อก่อนศรีษะของเจ้านั้นเคยโดนอะไรหรือเปล่า?”

“อ่า โดนกระแทกอย่างไม่ทันได้ระวัง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี