ข้าคือหงส์พันปี นิยาย บท 609

ขุนนางเฒ่าเหล่านี้ต่างมีรากฐานหยั่งลึกอยู่ในกิจของราชสำนักต้าฉู่ แช่ตัวอยู่ในแวดวงขุนนางมาหลายสิบปี มีเพียงขุนนางบางคนเท่านั้นที่มือสะอาดจริงๆ

เรื่องนี้หากตรวจสอบอย่างละเอียด เกรงว่าจะกลายเป็นการกวาดล้างขนานใหญ่

และด้วยมูลเหตุนี้ ทุกคนจึงสนใจแต่เรื่องการชำระสะสางตัวเองให้ขาวสะอาด ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจเรื่องการยื่นฟ้องร้องซูเจ๋อ

ขุนนางที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ต่างแยกย้ายกันทำหน้าที่ของตนเอง และตำแหน่งของอัครเสนาบดีซูก็เริ่มมั่นคงประดุจขุนเขา

เป็นที่รู้กันทั่วไปในหมู่ประชาชนชาวต้าฉู่ว่าราชครูผู้ได้เลื่อนยศเป็นอัครเสนาบดีได้ชำระสะสางราชสำนัก ลงโทษเหล่าขุนนางผู้ฉ้อราษฎร์บังหลวง ทำให้ทั้งราชสำนักและประชาชนเกิดความชัดเจน

ในเวลานี้ชื่อเสียงอันดีงามของอัครเสนาบดีซูเลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองหลวง บัณฑิตและนักปราชญ์ผู้แก่ตำราล้วนต่างเฝ้าฝันว่าจะได้อุทิศตนเป็นข้าหลวง

ผ่านไปเพียงชั่วพริบตาเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็เวียนมาถึง

ไม่มีการเฉลิมฉลองหรือกิจกรรมรื่นเริงใดๆ ภายในวัง นี่เป็นความตั้งใจของเฉินเสียน เพราะช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ยุ่งเกินกว่าที่ใครจะมีเวลามาชมพระจันทร์ได้อย่างสบายใจ

นอกจากการเข้าเฝ้ายามเช้าและการจัดการกิจของราชสำนักภายในวัง ซูเจ๋อยังต้องยุ่งอยู่กับงานภายในสถานที่ว่าราชการของเขาตลอดเวลาที่เหลือ โดยที่เฉินเสียนทำได้แค่สั่งให้คนเตรียมชาไว้ให้ที่โต๊ะของเขาเท่านั้น

เฉินเสียนเคยบอกกับซูเจ๋อว่าวันไหว้พระจันทร์ปีนี้ เธออยากไปที่แม่น้ำหยางชุนเพื่อกินบะหมี่ถงซินกับเขา

แต่ซูเจ๋อมีงานรัดตัวที่ต้องสะสาง เธอเองก็มีข้อราชการมากมายที่ต้องอ่าน เฉินเสียนได้ยินมาว่าซูเจ๋อทำงานอยู่ ณ ที่ว่าราชการจนมืดค่ำทุกวันกว่าจะกลับ

จนกระทั่งฟ้ามืดเฉินเสียนจึงเพิ่งรู้ตัว เธอมองไปยังท้องฟ้าด้านนอกและพูดกับอวี้เยี่ยนว่า “ถ้าข้าออกไปจากวังเวลานี้จะยังทันอยู่หรือเปล่า”

อวี้เยี่ยนไม่เข้าใจว่าเฉินเสียนพูดถึงอะไร “ทันอะไรหรือเพคะ”

เฉินเสียนเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ช่างเถอะ นานทีจะมีเวลาว่าง ปล่อยให้เขาได้พักผ่อนอยู่ที่เรือนจะดีกว่า”

ช่วงนี้ซูเซี่ยนเองก็ไม่ได้คิดจะออกไปนอกวังอีกแล้ว เขาอยู่อย่างว่านอนสอนง่ายในพระตำหนักไท่เหอและคงจะรู้ว่าช่วงนี้พ่อกับแม่กำลังยุ่งมาก

ต่อมานางกำนัลที่อยู่ด้านนอกก็เข้ามากราบทูลว่า “ฝ่าบาท ท่านอัครเสนาบดีมาเข้าเฝ้าเพคะ บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะมาหารือกับฝ่าบาท”

เฉินเสียนชะงักไปนิดหนึ่งและตอบไปว่า “เข้ามาได้”

อวี้เยี่ยนกำลังจะออกไปพร้อมกับนางกำนัลผู้นั้นอย่างรู้งาน ทันใดนั้นเฉินเสียนก็เอ่ยขึ้นมาราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “อวี้เยี่ยน ไปเตรียมอาหารค่ำมาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่”

อวี้เยี่ยนถามว่า “ฝ่าบาทต้องการเสวยอะไรหรือเพคะ”

เมื่อนางกำนัลพาซูเจ๋อเข้ามาในห้องตำราหลวง อวี้เยี่ยนก็รับคำสั่งออกไป แสงไฟภายในห้องตำราสว่างไสว เขาเดินเข้ามาในห้องภายใต้เครื่องแบบขุนนางที่งดงามเรียบร้อย ใบหน้าที่เรียบเฉยปรากฏให้เห็นร่องรอยของความเหนื่อยล้าและความมีชีวิตชีวาที่ดูลดน้อยถอยลง

เฉินเสียนรู้สึกเจ็บปวดเมื่อได้เห็น

ขณะที่ซูเจ๋อกำลังแสดงความเคารพ เฉินเสียนก็รีบบอกไปว่า “ไม่ต้องมีพิธีรีตองนักหรอก”

ซูเจ๋อกล่าวว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

“นั่งสิ”

ซูเจ๋อนั่งอยู่ตรงหน้าเอกสารราชการชั่วขณะหนึ่ง เฉินเสียนยื่นชาโสมอุ่นๆ ให้เขา เขายิ้มจางๆ และกล่าวว่า “นี่เตรียมไว้สำหรับฝ่าบาท”

เฉินเสียนกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าดื่มครึ่งถ้วย ท่านดื่มครึ่งถ้วย ตกลงไหม”

ต่อหน้าผู้คน พวกเขาคือจักรพรรดิและขุนนาง ซึ่งซูเจ๋อรักษามารยาทได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่องเมื่ออยู่ต่อหน้ากษัตริย์ แม้จะอยู่ลับหลังผู้อื่นเขาก็ยังควบคุมตัวเองไว้เสมอ

ซูเจ๋อผ่อนคลายน้ำเสียงและตอบว่า “ก็ได้”

เฉินเสียนดื่มชาโสมครึ่งถ้วยแล้วมองซูเจ๋อดื่มอีกครึ่งถ้วยที่เหลือ เธอกระซิบว่า “ทำงานอยู่ในที่ว่าการมาตลอดทั้งวันแล้ว ไม่ได้พักเลย ดึกแล้วยังมีราชกิจต้องทำอีกหรือ หลายๆ เรื่องท่านไม่จำเป็นต้องลงมือทำเอง มอบหมายให้ขุนนางใต้บังคับบัญชาทำก็ได้นี่นา”

นิ้วอันขาวสะอาดอบอุ่นของซูเจ๋อวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบาและกล่าวว่า “ช่วงก่อนนี้ค่อนข้างยุ่งมาก แต่สองวันมานี้ค่อยดีขึ้นบ้างแล้ว เพียงแต่ข้าคงชินกับการอยู่ที่สถานที่ว่าราชการ จึงไม่ได้กลับเรือนแต่หัววัน”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี