จักรพรรดิเป่ยเซี่ยพระพักตร์เปลี่ยนสี พระองค์ตรัสว่า “ข้าพยายามพูดดีๆ แต่ท่านไม่ฟัง ดังนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่หน้าท่าน ข้าคิดว่าข้าพูดกับท่านชัดเจนแล้ว ถึงจะคุกเข่าอ้อนวอนข้าไปก็เปล่าประโยชน์”
ขณะที่จักรพรรดิเป่ยเซี่ยหันหลังเตรียมจะกลับเข้าไปในห้องตำรา เฉินเสียนซึ่งอยู่ด้านหลังก็ยืนกรานอย่างมั่นคงว่า “ขอพระองค์โปรดทรงเมตตา ยอมให้ข้ากับเขาได้อยู่ด้วยกัน”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยหยุดฝีเท้า พระองค์หันกลับมาอย่างกริ้วโกรธและตรัสว่า “เดิมทีข้าคิดว่าท่านเพียงแค่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จากที่เห็นวันนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่นั้น แม้แต่หลักการพื้นฐานท่านก็ยังไม่รู้ ไม่รู้ว่าควรก้าวไปข้างหน้าหรือควรถอยตอนไหน ไม่รู้จักแม้แต่ความละอาย! ท่านคิดว่าแค่คุกเข่าอยู่ที่นี่ต่อไปแล้วจะทำให้ข้าเปลี่ยนใจงั้นรึ ท่านมีแต่จะทำให้ข้ารำคาญยิ่งขึ้นก็เท่านั้น!”
เฉินเสียนนิ่งเงียบและไม่โต้แย้ง มันไม่สำคัญเลยว่าจักรพรรดิเป่ยเซี่ยจะรำคาญเธอแค่ไหน เธอมาเพื่อขอร้องพระองค์ และเธอไม่ควรดันทุรังโต้ตอบใดๆ
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยตรัสว่า “วันนั้นฝีปากของท่านเก่งกล้ามิใช่รึ เหตุใดวันนี้จึงไม่พูดล่ะ หรือว่าข้าพูดแทงใจท่าน ท่านจึงไม่รู้จะโต้แย้งอย่างไร”
ความโกรธยังคงคุกรุ่นอยู่ในพระทัยของพระองค์ เมื่อเห็นเฉินเสียนเป็นเช่นนี้ไฟโทสะก็ยิ่งลุกโชน พระองค์จึงตรัสอีกว่า “จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ผู้สง่าผ่าเผย เพื่อความรักและความเห็นแก่ตัว ท่านถึงกับยอมคุกเข่าต่อหน้าข้า ไม่สนแม้กระทั่งฐานะอันสูงส่งและมีเกียรติของตนเองว่าจะเป็นเช่นไร! นึกถึงตอนนั้น ตอนที่แม่ของท่านอภิเษกสมรสกับต้าฉู่ในฐานะพระธิดาบุญธรรมแห่งเป่ยเซี่ย นางสร้างความสุขให้แก่ประชาชนของทั้งสองอาณาจักร นางสูงส่งอย่างแท้จริง ทั้งยังมีคุณธรรมและเห็นแก่ส่วนรวม นั่นจึงเป็นแบบอย่างที่ควรค่าแก่การเคารพนับถือจากคนทั้งโลก! แต่ดูท่านซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนางสิ ท่านช่างไร้ยางอาย ทำลายเกียรติของนางไปจนหมดสิ้น!"
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยยังตรัสอย่างทิ่มแทงต่อไปว่า “ธิดาบุญธรรมของข้าให้กำเนิดธิดาเช่นท่านออกมาได้อย่างไร หรือว่าเกิดมาแล้วไม่มีมารดาคอยสั่งสอน ท่านจึงกลายมาเป็นคนเห็นแก่ตัวและขาดศีลธรรมจรรยาเช่นนี้”
เฉินเสียนเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าเอ่ยชัดเจนแล้วว่าวันนี้ข้ามาในฐานะของชนรุ่นหลัง ไม่ใช่ในฐานะจักรพรรดิแห่งต้าฉู่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับต้าฉู่หรือเกียรติของทั้งสองอาณาจักร แล้วก็... พระองค์จะดุด่าข้าอย่างไรก็ย่อมได้ แต่คนตายไปแล้วควรได้พักผ่อนอย่างสบาย ขอพระองค์อย่าทรงพาดพิงถึงบรรพบุรุษ”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยยิ้มเยาะและตรัสว่า “ท่านยังสนเกียรติของทั้งสองอาณาจักร ยังสนว่าบรรพบุรุษจะอยู่เป็นสุขหรือเปล่าด้วยรึ แค่ท่านคุกเข่าอยู่ที่นี่ตอนนี้ก็นับว่าทำให้บรรพบุรุษต้องอับอายขายหน้าพอแล้ว”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเอามือไพล่หลัง เงยหน้าขึ้นและสูดลมหายใจเข้าก่อนจะกล่าวว่า “เอาละ เจ้าบอกว่าเจ้ามาในฐานะคนรุ่นหลัง เช่นนั้นข้าจะมองข้ามเรื่องเกียรติของทั้งสองอาณาจักรไปก่อน ถ้านับอาวุโส ข้าคือตาของเจ้า และตอนนี้เจ้ากำลังขอให้ข้ายอมให้เจ้าได้อยู่เคียงข้างน้าของเจ้า เจ้ากำลังร่วมประเวณีกับญาติ! เจ้ามันไร้ยางอาย แต่ข้ายังละอาย!"
ซูเจ๋อยืนอยู่ในมุมมืดเมื่อเขาเข้ามาในวัง สิ่งที่เขาเห็นคือภาพที่เฉินเสียนกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น เสียงที่เขาได้ยินคือเสียงคำพูดที่รุนแรงเหล่านั้น
เสื้อผ้าสีดำของเขากลืนไปกับความมืดมิดเปล่าเปลี่ยวในยามค่ำคืน สีหน้าของเขาอึมครึม
สตรีผู้นี้ต้องการให้เขารอเธอ แต่เธอกลับมาอ้อนวอนพ่อของเขาด้วยสภาพที่น่าหยามหยันเช่นนี้
เฉินเสียนพึมพำว่า “ตอนที่ข้ารักเขา ข้าไม่รู้ว่าเขาคือน้าบุญธรรมของข้า” เธอหัวเราะเบาๆ ชวนให้รู้สึกอ้างว้างเมื่ออยู่ท่ามกลางสายฝน “บางที ต่อให้ข้ารู้ว่าเขาคือน้าบุญธรรมของข้า ชั่วชีวิตนี้ข้าก็ยังคงรักเขาอยู่ดี โชคดีเหลือเกินที่ข้าไม่ใช่ญาติร่วมสายเลือดกับเขา ดังนั้นข้าจึงไม่สนใจทั้งนั้นว่าเขาจะเป็นใคร”
เธอหลุบตาลง แสดงออกอย่างเคารพนอบน้อมจากใจจริง “ได้โปรด ขอให้ข้ากับเขาได้อยู่ด้วยกันด้วยเถิดเพคะ”
ในที่สุดจักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็ทนไม่ไหวและตรัสอย่างพิโรธว่า “ช่างดื้อด้านสามหาวยิ่งนัก! ในเมื่อดื้อดึงเช่นนี้ วันนี้ข้าจะตบให้เจ้ามีสติแทนแม่ของเจ้าเอง!"
พูดจบจักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็เงื้อมือขึ้นเตรียมจะตบลงไปบนหน้าของเฉินเสียนอย่างแรง
ครั้งนี้พระองค์ตั้งใจจะลงมือกับเฉินเสียนจริงๆ และด้วยฝ่ามือที่ทรงพลังนี้ เกรงว่าแค่ตบลงไปครั้งเดียว เฉินเสียนคงจะคว่ำลงไปกองอยู่กับพื้น
ทว่าฝ่ามือนั้นไม่มีโอกาสได้สัมผัสลงมาบนใบหน้าของเฉินเสียน
สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามา ทันใดนั้นโลกทั้งใบก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด ครั้นแล้วเสียงสายฝนที่ตกลงมากระทบร่มกระดาษไขก็ดังขึ้นสะดุดหู
เฉินเสียนเงยหน้ามองด้วยความสับสน เธอเห็นร่มกระดาษไขคันหนึ่งกางกั้นสายฝนที่ตกหนักเอาไว้ ร่มนั้นยื่นเอียงๆ มาที่เหนือศีรษะของเธอพอดี มอบความสงบให้เธอซึ่งอยู่อีกด้าน
เธอมองตามรอยข้อต่อจากมือที่ถือร่มไว้ไปเรื่อยๆ จนเห็นซูเจ๋อซึ่งอยู่ในอาภรณ์สีดำ มือข้างหนึ่งของเขากางร่มให้เธอ ในขณะที่มืออีกข้างสกัดมือของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยเอาไว้
ในจิตใต้สำนึกของเขา เขาไม่ได้รู้สึกผูกพันกับบิดาบังเกิดเกล้ามากนัก นั่นอาจเป็นเพราะพระองค์ไม่เคยอบรมเลี้ยงดูเขาเลยแม้ว่าจะเป็นผู้ให้กำเนิด นอกจากนี้เขาเพิ่งกลับมาเป่ยเซี่ยได้เพียงสองปีหลังจากพลัดพรากจากกันมาอย่างยาวนาน การปลูกฝังความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างพ่อลูกก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นเลย ดังนั้นความรู้สึกของเขาต่อทุกอย่างที่มีอยู่ที่นี่จึงเบาบางมาก
ในชั่วขณะที่ทุกอย่างหยุดชะงัก ซูเจ๋อเหมือนเป็นคนแปลกหน้าสำหรับจักรพรรดิเป่ยเซี่ย
ร่างกายครึ่งหนึ่งของซูเจ๋อที่อยู่นอกร่มเปียกโชกทันที โครงหน้าครึ่งหนึ่งของเขาอยู่ในแสงสว่าง ครึ่งหนึ่งอยู่ในเงามืด ส่วนที่มืดมนดูไม่ต่างอะไรกับพญายม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...