ซูเจ๋อควรรู้แต่แรกแล้วว่าเธอเป็นคนงมงาย ทว่าเขากลับคิดได้หลังสายฝนชุดนี้โปรยปรายลงมา เขากลัวว่าเธอต้องตากฝนกลางทาง เขากลัว เขากลัวเธอจะได้รับความลำบากจากจักรพรรดิเป่ยเซี่ย
ครั้งก่อนเธอกับจักรพรรดิเป่ยเซี่ยทะเลาะกัน เขาอยากออกไปปกป้องแต่ไม่ทำ ครั้งนั้นยังคงมีความคิดอยากปกป้องเธอไม่เปลี่ยน แล้วไยไม่ไปทำเล่า?
การสวมกอดก่อนหน้านี้ทำให้ซูเจ๋อได้สัมผัสความรู้สึกของตนอย่างลึกซึ้ง ยามนี้สมองของเขายังเต็มไปด้วยภาพนัยน์ตาเธอที่ทอแสงประกายสดใส หลังจากมีแสงของสายฟ้าแลบส่องมายังประตูห้อง
ความจริงแล้ว เฉินเสียนยังไม่ทันไปถึงห้องตำราหลวงของจักรพรรดิเป่ยเซี่ย ฝนก็ตกกะทันหันแล้ว ซึ่งเธอเปียกปอนทั้งตัวอย่างไม่ต้องสงสัย
บรรยากาศฟ้าร้องฟ้าแลบท่ามกลางสายฝนกระหน่ำในช่วงสับเปลี่ยนฤดูจากวสันตฤดูเป็นคิมหันตฤดูจะรุนแรงเพียงใด แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อฝีเท้าเธอ
เธอถูกรั้งอยู่นอกห้องตำราหลวง
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยได้ยินเธอมาก็ลั่นประโยคเดียว ไม่พบ
เฉินเสียนเอ่ยปากกล่าวกลางสายฝน "ครั้งก่อนล่วงเกินและเสียมารยาทต่อท่าน ครั้งนี้ข้ามาด้วยสถานะคนรุ่นหลังมาขอขมาท่าน"
ผ่านไปเนิ่นนาน ประตูห้องตำราหลวงก็เปิดกว้าง แสงสีเหลืองของเปลิวไฟด้านในกระจายไออุ่นออกมา
เพียงแต่ไม่เห็นจักรพรรดิเป่ยเซี่ยออกมา มีเพียงขันทีออกมากล่าวหนึ่งคน "เชิญจักรพรรดิแห่งต้าฉู่กลับไปเถอะ คืนนี้ฝ่าบาทไม่มีอารมณ์พบหน้าจักรพรรดิต้าฉู่พ่ะย่ะค่ะ"
ท่านอ๋องมู่เดินเข้าไปเพื่อช่วยพูด แต่เมื่อขันทีเห็นท่าทีของท่านอ๋องมู่จึงกระซิบบ่นว่า "ท่านอ๋องมู่อย่าได้พูดให้มากความเลยพ่ะย่ะค่ะ ฝาบาทกำลังกราดเกรี้ยวอยู่ หากขืนพระองค์พูดอีก ฝ่าบาทก็จะยิ่งพิโรธได้ บ่าวเห็นว่าพระองค์ควรรีบออกจากวังจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ"
เดิมทีจักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็โกรธท่านอ๋องมู่ด้วยเรื่องที่คิดว่าเข้าข้างคนนอกแล้ว ตอนนี้เขายังคิดจะช่วยเฉินเสียนพูด มันเป็นการราดน้ำมันบนกองเพลิงอย่างไม่ต้องสงสัย
ท่านอ๋องมู่กล่าวกับขันทีว่า "ท่านไปกราบทูลหน่อยเถอะ ทูลฝ่าบาทว่าข้ามีเรื่องสำคัญจะรายงานจริงๆ ไม่แน่ว่าหากฝ่าบาทรู้แล้วคงไม่โกรธเพียงนี้แล้ว"
ขันทีกล่าวด้วยความลำบากใจ "ก่อนหน้านี้บ่าวก็เคยกราบทูลหลายครั้งแล้ว แต่ฝ่าบาทก็ไม่ยอมพบอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ"
ด้านในส่งเสียงพูดของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยออกมา "ให้ท่านอ๋องมู่รีบไสหัวไปซะ"
เฉินเสียนเนื้อตัวเปียกปอน กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "ท่านอ๋องกลับไปเถอะ วันนี้ท่านอ๋องมีบุญคุณต่อเฉินเสียน วันหน้าเฉินเสียนต้องตอบแทนพระคุณ ยื่นหมูยื่นแมวแน่"
ถึงแม้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่ปรากฏกาย แต่กลับได้ยินเสียงด้านนอกอย่างชัดถ้อยชัดคำ กล่าวต่อว่า "ไม่ใช่ใช้สถานะของคนรุ่นเยาว์มาขอขมาหรอกหรือ เช่นนั้นก็คุกเข่าขอโทษหน้าประตูห้องตำราหลวงเถอะ ให้ข้าเห็นความจริงใจก่อน"
ท่านอ๋องมู่กล่าวด้วยความตกตะลึง "ฝ่าบาทไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรเสียนางก็เป็นจักรพรรดิแห่งต้าฉู่"
"เป็นนางเองที่บอกว่าจะใช้สถานะคนรุ่งหลัง งั้นผู้เยาว์คุกเข่าให้กับผู้ใหญ่คงไม่เกินไปกระมัง? ข้ามีศักดิ์เป็นเสด็จตาบุญธรรมของนางนะ"
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเห็นเฉินเสียนไม่กระดุกกระดิกกลางสายฝนเลือนราง พลางอดหัวเราะเย้ยหยันไม่ได้ กล่าวต่อว่า "ปากพร่ำแต่จะขอขมา มันก็เป็นเพียงลมปาก? ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนช่างพูดช่างจา"
เฉินเสียนหลุบตาลงเล็กน้อย ดวงตาที่โดนน้ำฝนมองพื้นผิวเกิดเป็นดอกฝนเม็ดกลมๆ กล่าวว่า "ถึงแม้ข้าไม่อยากยอมรับ แต่ท่านก็เป็นเสด็จตาบุญธรรมของข้า เป็นบิดาของซูเจ๋อ คาดว่าท่านคงรู้ว่า ข้าไม่ได้มาเพราะขอขมาอย่างเดียว ข้ายังอยากขอร้องให้ท่านอนุญาตให้ข้ากับซูเจ๋ออยู่ด้วยกัน หากต้องให้ข้าคุกเข่าหน้าประตูให้ได้ แล้วทำให้ท่านหายโมโห ขอเพียงมีความหวังอันน้อยนิดที่จะทำให้ท่านเปลี่ยนใจ ข้าที่เป็นคนรุ่นหลังคุกเข่าก็ไม่เป็นกระไร"
ท่านอ๋องมู่เพิ่งอยากเข้าไปห้าม เฉินเสียนก็กล่าวอย่างใจเย็นอีกครั้ง "เชิญท่านอ๋องกลับเถอะ"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...