เมื่อก่อนทั้งคู่นั้นต้องประสบกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆมากมายมาตลอดทาง ต่างฝ่ายต่างก็คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พวกเขามีจุดมุ่งหมายและศัตรูคนเดียวกัน พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าจิตใจของอีกฝ่ายอยู่ที่ตัวของตัวเองเท่านั้น ถึงแม้ว่าช่วงเวลานั้นจะลำบากยากเข็น แต่ก็กลับทำให้พวกเขามั่นคงไม่หวั่นไหวมากยิ่งขึ้น
อาจจะเป็นเพราะสาเหตุที่เคยประสบกับการสูญเสียอันเจ็บปวดครั้งนั้น ต่างฝ่ายต่างกลายเป็นคนที่อ่อนไหว กลายเป็นระมัดระวังและยังรู้จักการวางแผนให้มากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้ทั้งเธอและซูเจ๋อที่กำลังตกอยู่สถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ ทั้งสองคนที่กำลังแข่งขันกันก็กลับห่วงใยซึ่งกันและกัน
เมื่อลองคิดดูแล้ว เช่นนี้นั้นราวกับต้องแสดงให้เหมือนที่แอบรักกันในช่วงแรกที่ต่างคนต่างอวดเก่งและเล่นแง่กัน เธอและซูเจ๋อนั้นไม่เคยทะเลาะกันมาก่อน ตอนนี้ก็กลับได้ชดเชยแล้ว
เรื่องที่โชคดีบนโลกใบนี้ก็คงไม่พ้นที่ข้าสามารถแสดงเจตนาแสร้งทำตัวเหนือคนอื่นได้ เพราะว่ามีท่านตามใจ
ตอนนี้เฉินเสียนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ซูเจ๋อเดินมายังตรงหน้าเธอ เขาจูงมือเธอเข้าไปในห้อง แล้วพูดเสียงเบาว่า“กลัวที่จะเข้ามาในห้องข้าขนาดนั้นเลยรึ ห้องนอนข้าใช่ว่าจะมีปีศาจสักหน่อย”
เฉินเสียนยังไม่ค่อยได้สติกลับมา จึงพูดขึ้นช้าๆอย่างระมัดระวังว่า“ไม่ใช่ว่ากลัว แต่ข้าแค่รู้สึกกังวลนิดหน่อย”
“ท่านกังวลอะไร”
“เพราะว่าภายในห้องนอนของท่าน มีเตียงที่ท่านเคยนอน มีเก้าอี้ที่ท่านเคยนั่ง มีเครื่องชาที่ท่านเคยใช้ดื่ม สิ่งของทุกอย่างในห้องนี้มันมีกลิ่นอายของท่านติดอยู่เต็มไปหมด ข้าเลยรู้สึกกังวลขึ้นมา”
ตามที่เธอพูดออกมานั้น สายตาที่ลึกลับสุขุมของซูเจ๋อก็ได้จ้องมองไปยังเธอ
เฉินเสียนเรียกสติตัวเองกลับมาจากการขบคิดเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว ยื่นมือไปตบที่ต้นคอตัวเองและรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาเล็กน้อย เธอกำลังพูดจาเหลวไหลอะไรออกไป หาเรื่องอื่นพูดไม่ได้แล้วหรือ……
ซูเจ๋อยื่นมือออกไปลูบที่ใบหูของเธออย่างประณีต นิ้วมือของเขาไล่ไปตามโคร่งร่างของใบหูเธอ จึงทำให้เห็นว่าบริเวณกกหูชมพูอ่อนของเธอนั้นกำลังแผ่ความร้อนออกมา
เฉินเสียนก็รับรู้ได้ถึงความร้อนที่ถูกแผ่ออกตั้งแต่บริเวณลำคอของตัวเองขึ้นไป
เธอหันศรีษะเพื่อหลบซ่อน จ้องตาขู่ซูเจ๋อพร้อมเอ่ยว่า“เมื่อครู่ข้าถูกท่านสะกดด้วยเวทมนต์ สิ่งที่ข้าพูดอะไรออกไปนั้นท่านอย่าถือสา”
ซูเจ๋อสัมผัสลูบไล้ด้วยนิ้วที่เบามือ ยังคงครุ่นคิดอยู่กับนิ้วที่สัมผัสอุณหภูมิที่กกหูของเธอเมื่อครู่นี้ เขายิ้มออกมาแล้วเอ่ยว่า“พูดคุยอะไรกันดี ไม่ว่าท่านจะพูดอะไรข้าก็ชอบที่จะฟัง”
เวลานั้น นางกำนัลก็เข้ามาตามที่ได้รับคำสั่งไป นำน้ำแข็งและผ้าฝ้ายที่ซูเจ๋อต้องการมาให้
ซูเจ๋อย่างกายเดินไปปิดประตูอย่างสบายๆ เมื่อประตูถูกปิดสนิท ในใจของเฉินเสียนก็รู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างแปลกประหลาดทันที
เธอเห็นซูเจ๋อใช้ผ้าฝ้ายห่อก้อนน้ำแข็งเอาไว้แล้วม้วนเป็นก้อนกลม จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “ท่านเอามาทำอะไร?”
ซูเจ๋อนั่งลงบนโต๊ะ แล้วกวักมือเรียกเธอพร้อมกับพูดขึ้นว่า“มานั่งตรงนี้เร็ว”
เฉินเสียนเตรียมป้องกันตัวจากเขาเล็กน้อย
เขาชี้นิ้วไปที่ตาของเธอ แล้วเอ่ยว่า“ตาของท่านค่อนข้างจะบวม ข้าจะช่วยประคบเย็นให้ก็เท่านั้น”
เฉินเสียนรีบยกมือขึ้นสัมผัสกับดวงตาของตัวเองทันที ปฏิกิริยาใต้สำนึกแรกของเธอนั้นก็คือ“น่าเกลียดมากเลยใช่หรือไม่?”
เธอหลับตาลงแล้วมานั่งลงตรงข้ามกับซูเจ๋อ ก็คิดกับตัวเองในใจว่าอายุขนาดนี้แล้ว ยังจะร้องไห้จนตาบวมต่อหน้าเขาอีก มันช่างน่าอับอายเสียจริง
ซูเจ๋อเกี่ยวนิ้วของเธอเพื่อแสดงเจตนาให้เธอยื่นศรีษะมาให้เขา
เฉินเสียนจึงขยับก้มศรีษะเข้าไปใกล้ แต่เมื่อยื่นศรีษะไปแล้วก็รู้สึกว่าเมื่อยล้าที่ลำคอ เธอจึงวางศรีษะลงบนพื้นโต๊ะ
แต่คิดไม่ถึงว่าซูเจ๋อจะยื่นมือออกมารองรับศรีษะของเธอไว้ได้ทันเวลาพอดี คางของเธอไม่ได้วางลงบนพื้นโต๊ะ แต่กลับวางลงบนฝ่ามือของเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...