เนิ่นนานกว่าซูเจ๋อจะเอื้อนเอ่ย “ข้าจะไปส่งท่าน”
เฉินเสียนขยับตัวเตรียมจะลุกขึ้น ทว่าทันใดนั้นกลับถูกซูเจ๋อจับมือเอาไว้และรั้งเข้าไปในอ้อมแขน เฉินเสียนเอื้อมมือไปกอดเขาโดยไม่รู้ตัว
เขากุมไหล่บางเอาไว้และโน้มศีรษะลงมาจูบเธอ
ดวงตาของเฉินเสียนพร่าเลือนจนมองเห็นโครงหน้าของเขาได้ไม่ชัด เหนือศีรษะเต็มไปด้วยแสงดาวพร่างพราวยามค่ำคืน เธอโอบแขนไว้รอบคอของเขาและจูบตอบอย่างอ่อนหวาน
ซูเจ๋อเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “อาเสียน รอข้าก่อนนะ”
เฉินเสียนตอบเขาด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าว่า “อื้ม”
ซูเซี่ยนอยู่กับจักรพรรดิเป่ยเซี่ยจนกระทั่งพลบค่ำ ในขณะที่กำลังรับประทานอาหารเย็น เฮ่อโยวก็เข้ามาบอกว่าจะเชิญซูเซี่ยนไปเตรียมตัวเพราะใกล้จะถึงเวลาออกเดินทางแล้ว
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยจึงตรัสอย่างขุ่นเคืองพระทัยว่า “จะรีบอะไรกันนักหนา ไม่ให้เวลากินข้าวเลยหรืออย่างไร กินข้าวให้เสร็จก่อนค่อยมาใหม่!”
ซูเซี่ยนเองก็ไม่ได้รีบร้อนและขอให้เฮ่อโยวมาเรียกอีกครั้งเมื่อถึงเวลาที่ต้องออกเดินทาง
เวลานี้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยร้อนพระทัยเป็นอย่างมาก
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงคีบอาหารใส่ถ้วยของเขาและหว่านล้อมว่า “อาเซี่ยน เจ้าเรียกข้าว่าปู่สักครั้งจะได้หรือไม่ ข้ายังไม่เคยได้ยินเจ้าเรียกเลยสักครั้ง เจ้าเรียกแต่ท่านปู่น้อย เรียกแต่ท่านอา ข้าเห็นแล้วอิจฉาเหลือเกิน”
ซูเซี่ยนตอบว่า “พระองค์ยังมีหลานอยู่อีกไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ถ้าพระองค์อยากฟัง พระองค์ขอให้พวกเขาเรียกก็ได้”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยตรัสว่า “แต่ข้าชอบเจ้าที่สุด!”
ซูเซี่ยนไม่ตอบอะไรอีก เขาเช็ดปากเล็กๆ ของตัวเองหลังจากกินอาหารอิ่ม จากนั้นจึงก้าวลงมาจากโต๊ะเสวย ประสานมือคารวะและเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าต้องไปแล้ว ขอบพระทัยฝ่าบาทสำหรับการต้อนรับอย่างดีในช่วงไม่กี่วันมานี้พ่ะย่ะค่ะ”
นี่เป็นการแสดงออกที่สุภาพ แต่ดูห่างเหินเกินไปสำหรับคนเป็นปู่หลาน
เมื่อจักรพรรดิเป่ยเซี่ยทอดพระเนตรซูเซี่ยนที่หันหลังจากไปอย่างไร้ซึ่งความอาลัยอาวรณ์ พระองค์จึงรู้สึกร้อนรนและตรัสไปว่า “อาเซี่ยน เจ้าไม่ชอบข้าอย่างนั้นหรือ”
ซูเซี่ยนหยุดชะงักและหันกลับไปมองพระองค์ ใบหน้าเล็กๆ นั้นดูน่าสงสารเล็กน้อย เขากล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากชอบ ใครบ้างที่ไม่อยากให้ปู่รัก เพียงแต่ข้าไม่อาจรักปู่ที่คิดจะพรากท่านพ่อและท่านแม่ของข้าออกจากกันได้”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยรีบตรัสว่า “ถ้าเจ้ายอมเรียกข้าว่าปู่สักครั้ง ข้าจะพิจารณาเรื่องที่เจ้าพูดเมื่อยามบ่ายอย่างรอบคอบอีกครั้ง ตกลงหรือไม่”
ซูเซี่ยนชะงัก จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงพระดำเนินเข้ามาหาเขาและอยู่ห่างไปไม่กี่ก้าว พระองค์ทรงรวบฉลองพระองค์และย่อพระวรกายลงเพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกับเขา จากนั้นจึงตรัสอีกว่า “ข้าจะพิจารณาจริงๆ เจ้าเชื่อข้าเถิดนะ ตกลงหรือไม่”
ซูเซี่ยนคิด ต่อให้ในท้ายที่สุดพระองค์จะไม่ยอมรับ แต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่พระองค์จะยอมสมัครใจพิจารณาเรื่องนี้ใหม่เช่นนี้
เดิมทีเป็นอะไรที่ยากนักที่เรื่องนี้จะจบลงด้วยดีสำหรับทั้งสองฝ่าย การที่ฝ่ายหนึ่งได้หวนกลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายจะต้องแยกจากเลือดเนื้อเชื้อไข
ซูเซี่ยนมองความคาดหวังในสายพระเนตรของจักรพรรดิเป่ยเซี่ย ความคาดหวังนั้นแรงกล้า พระเนตรคู่นั้นชื้นขึ้นเล็กน้อยขณะที่รอคำตอบของเขา ทันใดนั้นขอบตาของซูเซี่ยนก็แดงก่ำ เขาเอ่ยออกมาว่า “เสด็จปู่”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่คิดว่าซูเซี่ยนจะยอมโอนอ่อนให้พระองค์ พระองค์เอ่ยอย่างตะลึงงันว่า “เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ ไหนเรียกอีกทีสิ”
“เสด็จปู่”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยปลื้มพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงขยับเข้าไปใกล้และดึงซูเซี่ยนมากอดไว้ ตรัสอย่างพอพระทัยว่า “ช่างเป็นหลานที่ดีของปู่จริงๆ!”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยยังไม่ยอมแพ้และตรัสว่า “เจ้ากลับไปคราวนี้ไม่รู้ว่าเราสองคนปู่หลานจะได้พบกันอีกเมื่อใด ต่อไปเจ้าต้องกลับมาเยี่ยมปู่บ่อยๆ นะ”
ใครจะรู้ว่าอนาคตที่ว่านั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ซูเซี่ยนอยู่ในฐานะพิเศษและคงไม่มีเวลามาที่เป่ยเซี่ยบ่อยนัก
แต่เพื่อไม่ให้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงเศร้าพระทัยเกินไป ซูเซี่ยนจึงพยักหน้ารับ
หลังจากจักรพรรดิเป่ยเซี่ยเสวยพระกระยาหารค่ำเสร็จแล้ว พระองค์จึงพาซูเซี่ยนไปที่ชายหาดด้วยพระองค์เอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...