จาวหยางรักษาคำพูดและเดินจากไปด้วยตัวเอง นางหายไปจากสายตาของฉินหรูเหลียงโดยที่ไม่มีคำบอกลาเลยแม้แต่คำเดียว
นางออกไปจากเป่ยเซี่ย ออกไปจากจวนของฉินหรูเหลียง หลังจากนี้ต่อไปสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของนางคือหนทางอันกว้างใหญ่ไพศาลที่นางจะมุ่งหน้าต่อไป
กาลเวลาหมุนผ่านไป จาวหยางได้ท่องเที่ยวไปยังถนนหลายสาย ได้เห็นอะไรต่อมิอะไรมากมาย บุคลิกของนางเริ่มกลมกลืนไปกับวิถีชีวิตและสภาพสังคมเหล่านี้ นางได้ชิมชาที่เจียงหนาน ได้คุยเล่นกับหญิงชราซึ่งขายขนมเข่งและซุปลูกบ๊วยอยู่ในตรอกเล็กๆ ได้แกล้งปลอมตัวเป็นผู้ชายเข้าไปในโรงเตี๊ยมและโรงน้ำชา ร่วมสังสรรค์พูดคุยกันอย่างสนุกสนานเฮฮากับผู้คนที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ
จนกระทั่งวันหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ จาวหยางรู้สึกได้ว่าไม่ว่านางจะไปไหน จะมีคนพวกหนึ่งคอยตามนางอยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำเช่นไรนางก็สลัดจากคนพวกนั้นไม่พ้น
ฉินหรูเหลียงอยู่ไกลจากเมืองชายแดน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปตามหานางด้วยตัวเอง แต่ก็มักจะมีจดหมายสองสามฉบับซึ่งส่งมาจากทั่วอาณาจักรต้าฉู่วางอยู่บนโต๊ะของเขาเสมอ
เขานั่งลงที่โต๊ะและเปิดจดหมายออกอ่าน ในจดหมายเขียนบอกไว้ว่าจาวหยางไปที่ไหนมาบ้าง ทำอะไรไปบ้างและตอนนี้ปลอดภัยดีหรือไม่ เขารู้สึกราวกับว่าตนเองมีสายตาคู่หนึ่งที่ช่วยออกไปมองทัศนียภาพที่งดงามภายนอกแทนเขา มีสองเท้าที่ช่วยพาเขาเดินไปตามลำน้ำและภูเขาต่างๆ ในขณะที่เขาคอยเฝ้ารักษาการอยู่ที่ชายแดนตลอดเวลา
ฉินหรูเหลียงเริ่มอ่านจดหมายจนติดเป็นความเคยชิน
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามุมปากที่เคร่งขรึมอยู่เป็นนิจของเขามักจะกระดกขึ้นทุกครั้งที่เปิดจดหมาย
ในช่วงสองปีมานี้เขาไม่ได้ออกไปตามหานาง แต่เขาส่งคนของตัวเองให้คอยติดตามนางไปทุกที่ ฉินหรูเหลียงไม่ได้จะเข้าไปก้าวก่ายว่าจาวหยางจะไปทำอะไรที่ไหน เพียงแต่เขาต้องปกป้องดูแลความปลอดของนางก็เท่านั้น
ถึงอย่างไรนางก็เป็นองค์หญิงและเป็นภรรยาในนามของเขา
แต่แล้ววันหนึ่งเนื้อหาในจดหมายที่คนของเขาส่งมาก็เปลี่ยนไป
จาวหยางสังเกตได้ว่ามีใครบางคนกำลังติดตามนางและนางพยายามทุกวิถีทางเพื่อสลัดให้หลุดจากคนผู้นั้น ด้วยเหตุนี้นางจึงทั้งปลอมตัว ทั้งพยายามสร้างปัญหา พยายามลองทำทุกอย่างขอเพียงแค่ให้นางหนีรอดไปได้
คนของเขายังเขียนมาบอกอีกว่าจาวหยางกำลังร่วมเดินทางไปกับชายผู้หนึ่ง ทั้งสองคนคุยกันหัวเราะต่อกระซิกดูสนิทสนมกันมาก
ผู้ติดตามของเขาไปตรวจสอบประวัติของชายผู้นั้นมาแล้ว เขามาจากครอบครัวที่มีฐานะและยังไม่ได้แต่งงาน ทั้งยังใส่ใจจาวหยางมาก นอกจากนี้เขายังเดินทางไปทำการค้าได้ทุกๆ ที่ ไม่ว่าเมื่อไรเขาก็มักจะเดินทางไปที่เดียวกับจาวหยางเสมอ เห็นได้ชัดเจนมากว่าเขาชอบนาง
ฉินหรูเหลียงนั่งอยู่ที่โต๊ะ แสงสว่างจากนอกหน้าต่างส่องกระทบลงมาบนร่างกายของเขารวมถึงบนโต๊ะตรงหน้า ขับให้โครงร่างของเขายิ่งดูโดดเด่น และทำให้โต๊ะตรงหน้าขาวสว่างจนดูพร่าเลือน
เขาตบจดหมายลงบนโต๊ะ คราวนี้มุมปากของเขายกไม่ขึ้นอีกต่อไป
ฉินหรูเหลียงขี่ม้าเร็วออกไปจากเมืองในวันนั้น
ภายในใจของเขารู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกและเขาก็เร่งร้อนอยากจะระบายมันออกมา
ในตอนที่ฉินหรูเหลียงตามหาจาวหยางในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งจนพบ นางกำลังดื่มชาอยู่ในโรงน้ำชากับผู้ชายที่ถูกกล่าวถึงในจดหมาย
สายฝนที่ตกปรอยๆ อยู่ด้านนอกดูประหนึ่งเส้นไหม
ฉินหรูเหลียงไม่ได้พกร่ม ไหล่กว้างของเขาเปียกเล็กน้อยขณะที่เดินไปตามถนนซึ่งปูด้วยแผ่นหิน บนเส้นผมซึ่งเป็นสีดำราวกับหมึกถูกปกคลุมไปด้วยละอองฝนพร่างพราว ความเยียบเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายสูงใหญ่ยิ่งเสริมให้ใบหน้านั้นเย็นชาจนทำให้คนแปลกหน้าไม่กล้าเข้าใกล้
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในโรงน้ำชา เขาก็เห็นจาวหยางนั่งอยู่ที่ข้างหน้าต่างโดยมีบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างกาย ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มซึ่งแตกต่างจากรอยยิ้มอันสดใสและไร้เดียงสาดั่งเช่นวันวาน เป็นรอยยิ้มที่ผลิบานอย่างโดดเด่นหลังจากผ่านพ้นหิมะและความหนาวเย็น ดูสุกสกาวยิ่งกว่าที่เคย
ฉินหรูเหลียงรู้สึกเสียดแทงเข้าไปในใจทันทีอย่างไม่มีเหตุผล ต่อมาเขาจึงคิดได้ว่าอาจจะเป็นเพราะหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า เขาจึงบังคับให้นางเติบโตขึ้น
จาวหยางบังเอิญหันหน้ามาและเห็นฉินหรูเหลียงเข้าพอดี
รอยยิ้มบนใบหน้าของนางชะงักงัน จาวหยางมองเขาตาค้างและคิดว่าตนเองตาฝาดไป ทันใดนั้นร่างทั้งร่างของนางก็แข็งทื่อ
ชายที่อยู่ข้างกายหันไปมองฉินหรูเหลียงและถามอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวว่า “ท่านรู้จักเขาหรือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...