“นาย......”
เจียงซานเห็นเจียงเฉิงไม่ตอบตกลง อีกทั้งยังหันหัวเดินจากไป ในใจก็พลันรู้สึกยิ่งไม่พอใจ ตะโกนว่า “หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไม่ว่าจะเป็นคนไข้คนไหน นายก็ไปดูวันอื่นซะ ส่วนวันนี้นายต้องไปดูอาการป่วยให้ปู่ฉัน!”
“ขอโทษครับ คนเราต้องรู้จักรักษาคำพูด ผมตอบตกลงไปแล้ว ก็ไม่สามารถกลับคำพูดได้”เจียงเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ
“หมอเทวดาเจียง เจียงซานเขาไม่ได้หมายความแบบนั้น เขา......”
ต่งเหล่ยเห็นท่าทางของเจียงซานก็รีบไกล่เกลี่ยทันที ทว่าเจียงเฉิงกลับยกมือขึ้นขัดคำพูดเขา เอ่ยว่า “คุณต่ง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องมีหน้ามีหลัง จุดนี้ไม่ผิดหรอกใช่ไหม?”
เจียงเฉิงหันตัวไปพูดกับต่งเหล่ย
“นี่ท่าทางอะไรของนาย รู้ไหมว่าปู่ฉันคือใคร?”
เจียงซานโกรธจนเส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน พลางเอ่ยด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ไม่ว่าปู่คุณคือใคร ก็ต้องทำตามเหตุผลข้อนี้ ผมจะไปดูคนไข้แล้ว ขอตัวก่อน” เจียงเฉิงพูดแล้วหันตัวเดินจากไปทันที
“หึ นายไม่อยากรักษา ดีซะอีกที่ฉันก็ไม่ต้องให้นายรักษาแล้ว” เจียงซานตวาดเสียงอย่างโกรธจัด ทว่าเจียงเฉิงเองก็ไม่แยแส
“คุณชายเจียงซาน อย่าวู่วามสิครับ ปรมาจารย์เชวี่ยก็บอกแล้ว ว่าอาการป่วยของปู่คุณมีเพียงเขาที่สามารถรักษาได้” ต่งเหล่ยเอ่ยกับเจียงซานอย่างจนใจเล็กน้อย
เดิมทีตามมาก็เพราะหวังว่าเจียงเฉิงจะสามารถเห็นแก่หน้าเขาแล้วไม่ถือสา ทว่าท่าทางของเจียงซานนั้นแย่มากจริงๆ ไม่ทันไรก็ทำเสียเรื่องแล้ว
“ไม่เป็นไร บนโลกนี้มีหมอเยอะขนาดนี้ ผมไม่เชื่อหรอกว่าอาการป่วยของปู่ผมจะมีแค่เขาที่รักษาได้” เจียงซานแค่นเสียงเย็นขึ้นจมูก จากนั้นก็หันตัวเดินกลับเข้าไปในตึกผู้ป่วยใน
เมื่อเจียงซานกับต่งเหล่ยกลับมาที่ห้องของท่านเจียง ปรมาจารย์เชวี่ยที่ยืนรออยู่หน้าห้องกลับไม่เห็นเจียงเฉิง
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมหมอเทวดาเจียงไม่ได้มาด้วย?” ปรมาจารย์เชวี่ยเห็นเจียงซานเข้าไปในห้องผู้ป่วย พลันรีบถามต่งเหล่ยที่อยู่ด้านหลัง
“จะทำไมกันล่ะ คุณชายเจียงซานคนนี้มีอคติกับคนอายุน้อย ท่าทางนั่นเย่อหยิ่งเกินไปแล้ว ไม่ยอมลดตัวลงเลยสักนิด” ต่งเหล่ยเองก็เอ่ยอย่างจนใจเล็กน้อย
“นี่มันช่าง......” ปรมาจารย์เชวี่ยเองก็เผยสีหน้าผิดหวังและเจ็บใจ
ทว่าปรมาจารย์เชวี่ยก็รู้ ว่าอาการป่วยของคุณท่านเจียง หากไม่รีบรักษาแล้วล่ะก็อาจจะไม่ทันแล้วจริงๆ เขารีบเอามือถือออกมา เอ่ยว่า “ผมโทรหาหมอเทวดาเจียงดีกว่า”
“อย่าๆ ๆ” ต่งเหล่ยเห็นดังนั้นก็รีบปรามปรมาจารย์เชวี่ยทันที เอ่ยว่า “เมื่อกี้ผมเองก็พูดแล้ว แต่ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด คุณไม่เห็นท่าทางของเจียงซาน คนอื่นแค่จะจับมือทักทายเขายังดูแคลน อย่าว่าแต่หมอเทวดาเจียงเลย ถ้าเป็นผมผมเองก็ต้องไม่พอใจแน่ ๆ”
“แต่สถานการณ์ตอนนี้......” ปรมาจารย์เชวี่ยเองก็กระวนกระวายใจ
“ตอนนี้ก็คงทำได้เพียงให้เจียงซานลดตัวไปขอแล้ว ไม่งั้นให้ใครไปก็ไม่มีประโยชน์” ต่งเหล่ยเอ่ยกับปรมาจารย์เชวี่ย
“เฮ้อ ตอนนี้ก็มีแค่วิธีนี้แล้วล่ะ” ปรมาจารย์เชวี่ยเองถอนหายใจอย่างจนใจ
เดิมทีปรมาจารย์เชวี่ยก็คือคนแรกๆที่เห็นความสามารถของเจียงเฉิง ทั้งคู่เคยเจอกันไม่กี่ครั้ง ความสัมพันธ์ก็ถือว่ายังดี ถ้าเรื่องในครั้งนี้ทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับเจียงเฉิงแย่ลง งั้นก็ไม่คุ้มเสียเลย
ดังนั้นปรมาจารย์เชวี่ยจึงตัดสินใจไม่ยุ่งเกี่ยว แล้วเก็บโทรศัพท์
“หมอเทวดาเจียงล่ะ?”
เจียงหวู่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย พลางถามอย่างยากลำบาก
“คุณปู่ ไอ้คนแซ่เจียงนั่นเย่อหยิ่งเกินไปแล้ว บอกว่าไม่มีเวลามา ปู่วางใจเถอะ เดี๋ยวผมจะหาหมอคนอื่นมารักษาปู่เอง” เจียงซานรีบเอ่ย
เจียงซานไม่เชื่อหรอก ว่าทั้งใต้หล้าจะมีแค่คนแซ่เจียงนั่นสามารถรักษาได้
เจียงเฉิงขับรถพาหลินหยุนเอ๋อร์มาถึงคลินิกของหยางเหมย เพิ่งเข้าไปในคลินิก เจียงเฉิงก็เห็นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่อุ้มเด็กเล็กอายุหนึ่งขวบกว่าๆกำลังรอด้วยสีหน้ากระวนกระวาย ส่วนเด็กน้อยก็ร้องไห้เสียงสะอื้นไม่หยุด
“หมอเจียง คุณมาแล้วสักที” หยางเหมยเห็นเจียงเฉิงเข้ามาแล้วก็พลันถอนหายใจโล่งอกทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละ ลูกผู้ชายตัวจริง