เจียงเฉิงเองก็รู้ว่าดูซอมซ่อแร้นแค้นไปหน่อย แต่เขาเองก็ไม่ได้มีความคิดจะจัดงานใหญ่โตครึกโครม เพราะก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ถาวร เขาจึงยิ้มเอ่ยว่า “วันนี้ก็ถือซะว่าเป็นงานเลี้ยงครอบครัว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
“ซอมซ่อขนาดนี้ยังจะเปิดกิจการอีกทำไม ปิดประตูซะเถอะ” สวี่จื้อกั๋วแค่นเสียงเย็นแล้วเอ่ย
“นั่นสิ แค่วางกระถางดอกไม้กับติดป้ายนิดหน่อยจะถือว่าเป็นงานเปิดกิจการได้ยังไงกัน? ใครเขารู้เข้าคงจะหัวเราะเยาะตาย” สวี่เหลียงพูดสนับสนุนอาสองของตัวเองต่อ
วันนี้พวกเขามาที่นี่ก็เดาได้แล้วว่าที่นี่จะไม่มีคน เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนมาร่วมงานด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเขาจึงจะเยาะเย้ยเจียงเฉิงให้สมใจ
“ใครมาไม่มามันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ? ลูกเขยฉันแค่ไม่อยากเชิญใคร ถ้าอยากเชิญจริงๆ ก็มีคนมากมายแทบจะแย่งกันมาด้วยซ้ำ” สวี่จื้อจุนไม่อยากเห็นลูกเขยตัวเองถูกกลั่นแกล้ง พลันรีบเอ่ยทันที
“อาสาม ตอนนี้อาพูดโวก็หน้าไม่แดงบ้างเลยนะ ตอนนั้นอายังพูดอยู่เลยว่าจะสร้างเนื้อสร้างตัวให้ปู่ดู ตอนนี้อาสร้างเนื้อสร้างตัวไปถึงไหนแล้วล่ะ? ถ้าครั้งนี้อาไม่มา พวกผมก็จะลืมอาไปแล้ว” สวี่เหลียงมองสวี่จื้อจุนอย่างดูหมิ่น
สวี่จื้อจุนเองก็ถูกสวี่เหลียงเย้ยหยันจนสีหน้าแดงสลับขาว ก็จริงที่ตอนนั้นเขาเคยพูดตอนออกจากตระกูล ว่าต่อให้เขาไม่เรียนแพทย์ แต่เขาก็สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวให้ได้ดี ทว่าแท้จริงแล้วเขาทำไม่ได้ตามที่เคยพูดเอาไว้
“นั่นสิ อาสาม ต่อให้ลูกเขยอาจะเรียกคนมาเป็นฝูงได้ แต่ก็คงจะเป็นพวกคนไข้ที่เขาเคยดูแลตอนเป็นบุรุษพยาบาลละนะ ไม่ใช่ว่าถึงเวลาก็มีแต่คนไข้ยกโขยงกันมานะ นั่นจะยิ่งขายหน้ากว่าเดิมเสียอีก” สวีหย่าเองก็เอ่ยอย่างขบขัน
สวี่ฉิงถูกคนพวกนี้ยั่วโมโหจนจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ทว่าเธอยังไม่ทันจะปรี๊ดแตก เจียงเฉิงก็กดต้นขาเธอเอาไว้ พลางส่ายหน้าให้เธอเบาๆ
เจียงเฉิงรู้ว่าถึงพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ แทนที่จะเสียน้ำลายกับคนพวกนี้ สู้กินข้าวอย่างสงบแบบนี้จะดีกว่า
“เอาน่า วันนี้ก็ถือว่าให้ปู่มาเยี่ยมชมคลินิกของเราละกัน เปิดกิจการก็กินข้าวกันสักมื้อหนึ่งก็พอแล้ว” เจียงเฉิงลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มเอ่ยกับทุกคน
พูดจบ เจียงเฉิงก็นั่งลงกินข้าว พวกสวีหย่าเห็นเจียงเฉิงไม่โกรธก็ทำได้เพียงต้องกินข้าวตาม ทว่าสวี่เหลียงกลับส่งสายตาให้สวีหย่า ความหมายคือจากนี้ไปยังมีเรื่องสนุกให้ดูต่ออีก
ขณะที่กำลังกินข้าว จู่ๆพนักงานก็เดินเข้ามา
“คุณผู้ชาย กรุณากินเร็วหน่อยนะคะ ห้องจัดเลี้ยงของเรา อีกเดี๋ยวอาจจะมีคนมาใช้ต่อแล้ว” พนักงานสาวเอ่ยกับเจียงเฉิงอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว” เจียงเฉิงเองก็รีบตอบ พวกเขามากันแค่โต๊ะเดียว แต่จองห้องจัดเลี้ยงที่ใหญ่ขนาดนี้ ก็จริงที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผล ทว่าเจียงเฉิงเองก็จ่ายเงินเพิ่มส่วนหนึ่ง จึงจะจองห้องห้องจัดเลี้ยงนี้
“โธ่ พนักงานถึงกับมาเร่งแล้ว ตลกจริงๆ มากันแค่โต๊ะเดียวยังจะจองห้องจัดเลี้ยงอีก” สวีหย่าป้องปากพูดกับเจียงเฉิงอย่างขบขัน
“ผมเองก็จองเผื่อไว้ ถ้าสมมติว่ามีคนมาล่ะ?” เจียงเฉิงยิ้มเอ่ยกับสวีหย่า
“ข้าวก็กินไปตั้งครึ่งมื้อแล้ว ยังจะมีใครมาอีก นายก็หลอกตัวเองไปเถอะนะ” สวีหย่ามองบนใส่เจียงเฉิง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละ ลูกผู้ชายตัวจริง